กระดานสุขภาพ

เครียดมากค่ะ โดนแมวข่วนเมื่อตอนอายุ 5 ขวบค่ะ แต่ไม่ได้รับวัคซีน
Apat*****t

11 มิถุนายน 2561 03:03:19 #1

ตอนนั้นไปงานศพแล้วไปแหย่จนแมวข่วนเอาอะค่ะ แม่บอกว่าเป็นรอยข่วนขาวๆไม่มีเลือด แม่เอาแอลกอฮอล์ราดก็หายไป แล้ว แม่พึ่งมาเล่าให้ฟัง ปัจจุบันอายุ 20 ค่ะ จากวันนั้นจำได้ว่าโดนข่วนก็ไม่ได้เข้าใกล้สัตว์ตัวไหนอีกเลยเพราะกลัว เกิดความเครียดมากได้อ่านมา พอดีไปอ่านเจอบทความของคุณหมอท่านนึง บอกว่าระยะฟักตัวของพิษสุนัขบ้ายาวนานกว่า 19 ปี อ้างอิงจาก : http://haamor.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2/

อยากขอรายละเอียดเพิ่มเตืมอะค่ะ แล้วก็เลยอยากจะรู้ว่า ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าโอกาสที่เชื้อยังมีอยู่ในตัวก็เป็นไปได้ใช่มั้ยคะ แล้วอย่างนี้ถ้าจะไปฉีดยังทันมั้ยคะ เพราะตอนนั้นก็เด็กมากจนไม่รู้เดียงสา แล้วถ้ามีเชื้อจะทำยังไงให้คนอื่นไม่ติดเชื้อไปด้วยอะคะ ต้องไปอยู่โรงบาลหรือควรอยํู่แต่ในบ้านมั้ยคะ ขอบคุณค่ะ  

อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 53 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.78 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

19 มิถุนายน 2561 18:24:54 #2

โดยทั่วไปหากมีการติดเชื้อจริง มักจะแสดงอาการและก่อโรคแล้วค่ะ การไปฉีดวัคซีนตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไรค่ะ หากฉีดจะเป็นการฉีดก่อนการติดเชื้อค่ะ ไม่จำเป็นต้องแยกตัวค่ะ ใช้ชีวิตปกติค่ะ

การฉีดวัคซีนหลังการสัมผัสสัตว์ จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยเสมอ โดยอาจแบ่งเป็นกรณีได้ดังนี้

1. ไม่ต้องฉีดวัคซีนในกรณีที่สัมผัสกับสัตว์โดยที่ผิวหนังไม่มีแผลหรือรอยถลอก เช่น การให้อาหาร ถูกเลีย สัมผัสน้ำลายหรือเลือด (ยกเว้น น้ำลายหรือเลือดของสัตว์กระเด็นเข้าทางตา หรือปากจะต้องรับการฉีดวัคซีน)

2 ต้องฉีดวัคซีนในกรณีที่

2.1ถูกงับเป็นรอยช้ำที่ผิวหนัง ไม่มีเลือดออก

2.2 ถูกเลีย หรือ น้ำลายถูกผิวหนังที่มีรอยถลอกหรือมีแผล

2.3 ถูกข่วนที่ผิวหนังโดยไม่มีเลือดออกหรือออกซิบๆ

2.4 ถูกกัดหรือข่วนเป็นแผล (แผลเดียวหรือหลายแผล) และมีเลือดออก

2.5มีน้ำลายหรือสารคัดหลั่ง (เช่น เลือด) จากร่างกายสัตว์ ซากสัตว์ เนื้อสมองสัตว์ รวมถึงการชำแหละหรือลองผิวหนังสัตว์ ถูกเยื่อบุตา ปาก จมูกหรือแผลตามผิวหนัง

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายที่ถูกสัตว์กัด หรือข่วนจนเป็นแผลและมีเลือดออก หรือถูกกัดเป็นแผลที่ใบหน้า ศีรษะ คอ มือ และนิ้วมือ หรือมีแผลลึก แผลฉีกขาดมาก จะต้องได้รับการฉีดอิมมูโนโกลบุลิน(Immunoglobulin; IG) โดยเร็วที่สุด โดยฉีดบริเวณรอบแผลร่วมกับวัคซีนในวันที่ 0 เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้เป็นกลุ่มมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้สูง

ในการเข้ารับการฉีดวัคซีนนั้นสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) ในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เช่น สถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลรัฐบาลที่ใกล้ที่สุด (ที่ใดก็ได้) ทันที จนครบทุกเข็มโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ใดๆ

ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูกสุนัข แมวหรือสัตว์อื่นๆ กัด?

เมื่อถูกสัตว์ข่วนหรือกัดโดยที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าควรรีบปฐมพยาบาลและปฏิบัติตัวดังนี้

ล้างแผลทันทีด้วยน้ำและฟอกด้วยสบู่หลายๆ ครั้ง ล้างสบู่ออกให้หมด ถ้าแผลลึกให้ล้างถึงก้นแผลอย่างน้อย 15 นาที ระวังอย่าให้แผลช้ำ ห้ามใช้ครีมใดๆ ทา ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น
เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ควรใช้โพวีโดนไอโอดีน (povidone iodine) หรือฮิบิเทนในน้ำ (hibitane in water) ถ้าไม่มีให้ใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ไอโอดีน นอกจากนี้ไม่ควรปิดปากแผลยกเว้นว่าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่มาก
ไปโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุดทันที หรือ เร็วที่สุดเพื่อรับการฉีดป้องกันบาดทะยัก ยาปฏิชีวนะ และยาแก้ปวดตามอาการ รวมถึงวัคซีนหรืออิมมูโนโกลบุลินตามความเหมาะสม
กักสัตว์ที่กัดไว้ดูอาการอย่างน้อย 15 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์นั้นดุร้ายกัดคนหรือสัตว์อื่นหรือไม่สามารถกัดสัตว์ไว้ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไปให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
หากสัตว์มีอาการปกติตลอดระยะเวลาที่กักเพื่อดูอาการ สามารถหยุดฉีดวัคซีนได้
การฉีดวัคซีนนี้ป้องกันหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า (Post-exposure vaccination) มีจุด ประสงค์เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรคฯ
ขนาดและตารางเวลาในการฉีดวัคซีนสำหรับป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในเด็กและในผู้ใหญ่จะเหมือนกัน ดังนั้นจึงสามารถปฏิบัติตามตารางเวลาในการฉีดวัคซีนได้ทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยผู้ใหญ่ โดยวิธีการฉีดวัคซีนจะแตกต่างกันตามจุดประสงค์ในการฉีดดังนี้

1. การฉีดแบบป้องกันล่วงหน้า (Pre-exposure immunization) ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: แนะ นำให้ฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 3 เข็มโดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1), ณ วันที่ 7 (เข็มที่ 2) และ ณ วันที่ 21 หรือ 28 (เข็มที่ 3) เมื่อฉีดครบทั้งสิ้น 3 เข็มถือว่าครบวัคซีนชุดแรก (Primary vaccination) โดยวันที่ฉีดอาจคลาดเคลื่อนได้บ้างเล็กน้อย 1 - 2 วัน

2. การฉีดวัคซีนกระตุ้นหลังได้รับวัคซีนแบบป้องกันล่วงหน้าทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: ภายหลังได้รับวัคซีนชุดแรก (Primary vaccination) ครบ 1 ปีแล้ว ให้ทำการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำอีก 1 เข็ม จากนั้นกระตุ้นซ้ำทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้อาจพิจารณาการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าสูง ซึ่งจะทำการฉีดเข็มกระตุ้นซ้ำเมื่อทำการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันแล้วต่ำกว่า 0.5 ยูนิต/มิลลิลิตร

3. การฉีดแบบป้องกันหลังสัมผัสโรค (Post-exposure immunization) ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: วิธีการฉีดวัคซีนสำหรับการป้องกันหลังสัมผัสโรคคือ ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular) หรือฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal) โดยให้ฉีดวัคซีนในช่วง 14 วันแรกภายหลังสัมผัสโรคเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคดังนั้นผู้ป่วยควรมารับวัคซีนให้ตรงตามตารางเวลาที่กำหนดเสมอ กรณีมาผิดนัดโดยทั่วไปจะทำการฉีดวัคซีนเข็มต่อไปเลยโดยไม่ต้องเริ่มการฉีดวัคซีนใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ร่วมด้วย

3.1 วิธีฉีดสำหรับป้องกันหลังสัมผัสโรคทั้งในเด็กและผู้ใหญ่:

ก.กรณีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular):

  • ในรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน จะต้องฉีดวัคซีนเข้ากล้ามฯทั้งสิ้น จำนวน 5 เข็มโดยฉีดวัคซีนครั้งละ 1 เข็ม (0.5 มิลลิลิตรหรือ 1 มิลลิลิตรแล้วแต่วัคซีนแต่ละชนิด) ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1), ณ วันที่ 3 (เข็มที่ 2), ณ วันที่ 7 (เข็มที่ 3), ณ วันที่ 14 (เข็มที่ 4) และ ณ วันที่ 28 หรือ 30 (เข็มที่ 5)
  • ในรายที่เคยได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันล่วงหน้ามาก่อนโดยได้รับวัคซีนครบตามจำนวนแล้ว สามารถฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 1 เข็มในกรณีที่ได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเข็มสุดท้ายมาน้อยกว่า 6 เดือน โดยฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ 1 เข็ม (0.5 มิลลิลิตรหรือ 1 มิลลิลิตรแล้วแต่วัคซีนแต่ละชนิด) ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1) เพียงครั้งเดียวเท่านั้น, และกรณีได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเข็มสุดท้ายมานานกว่า 6 เดือน (โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยได้รับมานานเท่าใดก็ตาม) ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข้ากล้ามเนื้อทั้งหมดจำนวน 2 เข็มคือ ฉีด ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1) และ ณ วันที่ 3 (เข็มที่ 2) และไม่จำเป็นต้องฉีดยาอิมมูโนโกลบุลินป้องกันเชื้อพิษสุนัขบ้า

ข. กรณีฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal): การฉีดด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดโปรดศึกษาหัวข้อ “วิธีบริหารวัคซีนฯ” เพิ่มเติม

  • ในรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนเลย จะต้องฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง ทั้งสิ้นจำนวน 4 ครั้ง/ชุด โดยฉีดเข้าในผิวหนังบริเวณต้นแขนทั้ง 2 ข้างข้างละ 1 จุด (รวม 2 จุด) โดยปริมาณวัคซีนที่ฉีดเข้าแต่ละจุดคือ 0.1 มิลลิลิตร ณ วันที่ 0 (ครั้งที่ 1, 2 จุด), ณ วันที่ 3 (ครั้งที่ 2, 2 จุด), ณ วันที่ 7 (ครั้งที่ 3, 2 จุด) และ ณ วันที่ 28 (ครั้งที่ 4, 2 จุด)
  • ในรายที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันฯล่วงหน้าครบตามจำนวนมาก่อนแล้ว สามารถฉีดวัคซีนฯหลังสัมผัสโรคเข้าในผิวหนังจำนวน 1 เข็มในกรณีที่ได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเข็มสุดท้ายมาน้อยกว่า 6 เดือน โดยฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข้าในผิวหนังปริมาณ 0.1 มิลลิลิตรจำนวน 1 จุด ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1) เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
  • กรณีได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเข็มสุดท้ายมานานกว่า 6 เดือน (โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยได้รับมานานเท่าใดก็ตาม) ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข้าในผิวหนังปริมาณ 0.1 มิลลิลิตรจำนวน 2 เข็มคือ ฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนังจำนวน 1 จุด ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1) ณ วันที่ 3 (เข็มที่ 2) และไม่จำเป็นต้องฉีดยาอิมมูโนโกลบุลินป้องกันเชื้อพิษสุนัขบ้า
  • 3.2 กรณีผู้ป่วยมีการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าซ้ำในช่วงที่กำลังได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่: ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีก เพราะพบว่าขณะนั้นผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องฉีดยาอิมมูโนโกลบุลินป้องกันเชื้อพิษสุนัขบ้า