กระดานสุขภาพ
ตกลง...หนูเป็นอะไร | |
---|---|
20 พฤษภาคม 2557 03:22:15 #1 ปี 50 มีผังผืดที่ปอด หมอบอกว่าเกิดจากมีฝุ่นเข้าไปอยุ่ในปอด ต้องรักษาการขยายตัวของพังผืด ด้วย TB ทาย b12 เข้าไปแล้วมึน ง่วง จะหลับ ชาปลายมือปลายเท้า เลยทานไม่ครบตามกำหนด ปี 51 ทานกาแฟผสมไมโล แล้วหลับไป ตื่นมาก็พอว่าหัวใจเต้นเร็ว เห็นหน้าอกซ้ายยับตามเสียงหัวใจ ชาปลายมือ ไปพบคุณหมอ ถามว่าอากานี้ใช่อาการแพ้กาแฟไหม คุณหมอบอกว่าแพ้แล้วกินทำไม แต่หมอว่าอาการนี้เครียด เลยจัดยาแก้เครียดมาให้ มีไดอะซีแปมด้วย จากนั้นก็มีอาการ หูอื้อ ตาลาย จับลมหายใจตัวเองไม่ได้ ง่วงจะหลับ ชาปลายมือปลายเท้า( รู้สึกเหมือนหายใจแล้วไม่มีอากาศเข้าไป) เป็นทุกครั้งที่อยู่ห้องแอร์ หรือ ก่อนฝนตก เลยตัดสินใจไปซื้อยาพ่นจมูกที่ร้านขายยา พ่นครั้งแรก จมูกโล่ง ครั้งที่ 2 มีอาการเหงื่อออกที่คอ จากนั้น ก็เห็นอะไรผิดไปจากเดิม เหมือนตัวเองย้อนไปวัยเด็ก สื่อสารกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ไปหาหมอที่โรงพยาบาล บอกเป็นไปโพลา ให้ยามาทาน ทานแล้วผื่นขึ้น เลยหยุดทาน กลับมากทม ไปหาหมอ หมอบอกแพ้ยา เนื่องจากได้รัษยาปริมาณมากและซ้ำซ้อน จริงๆดป็นภูมิแพ้จมูกชนิดเฉียบพลัน ปี 53มีคลื่่นดำพุ่งเข้ามาชนที่ตัว รู้สึกกลัว วูบๆวาบที่ตัว จากนั้นก็โวยวาย 1 คืน แต่ก่อนหน้านั้นทาน ชาเขียว มา 3ขวด รู้สึกนอนไม่หลับ ว่าบ้านรกอยากเก็บทำความสะอาด พ่อจับส่งโรงพยาบาล ได้ทั้งยาฉีด ยากิน ไม่มีแรงเดิน รู้สึกแย่มาก ไม่อยากทานอะไร เหม็น จากนั้นหมอให้กลับบ้าน ใฟห้ยาแก้พากินสันมา ตัดสินใจไม่ทาน ปี55 ทานยาเชียว 3 ขวด แล้วนอนไม่หลับ เลยลุกมาเก็บทำความสะอาดบ้าน พอจับส่งโรงพยาบาล ฉีดยา ยากิน อาการนอนเป็นผักไม่มีเรียวแรง การรับสัมผัสทางกลิ่นผิดปกติ ปี 56 ต้นเดือนมีนาเป็นไมเกรน ปวดหัวมาก เลยตัดสินใจทานกาแพ หวังขยายหลอดเลือด กลับปวดชา แล้วก็เลอ หลงลืม ต้นเดือนมิถุยายน ตัดสินใจ ทานแบรนเจนยู มีอาการตาแข็ง ตัวแข็ง กลัว เลยไปหาหมอคลินิค ให้ยามาทาน ร้อนข้างใน ผุดลุกผุดนั่ง เปลี่ยนยา ไปหาหมอที่โรงพยาบาล ทำแบบทดสอบ บอกตรงๆไม่มีความคิด และตินตนาการ เค้าบอกเป็นโรคจิตเภท เอายามาทาน จะคิดฆ่าตัวตาย ควบคุมฉี่ไม่ได้ ความจำหลงลืม เปลี่ยนยา เปลี่ยนหมอ ปัจจุบันได้ยา rispersidone sertraline อย่างละ 1/2 กะ 1/4 ทานแล้วไม่มีความสุข มึน เบลอ ง่วงนอน หลงลืม หมอบอกว่ายามันไม่มีส่วนในอาการหลงลืม แต่ก็เป็นอยู่อย่างนี้จนปัจจุบัน ทานชา กาแฟ โกโก ช็อคโกแลต ไม่ได้ ปี 57 ทดลองทานกาแฟชะมด ทานปุ๊บ เหมือนจะหลับ ตกกลางคืน ปวดหัวมาก นอนไม่หลับ ตื่นเช้ามามีความสุขมากๆ สมองปลอดโปร่ง มีไอเดีย มีความคิด จินตนาการและควสามสุข แต่มีอาการมีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ หลับยาว 1 วันเต็ม ตกเย็นทานยา อารมณ์ ความคิดหายไป มาสู่โหมด มึนๆ เบลอๆ หลงลืมตามเดิม บอกตรงๆค่ะ ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นโรคจิตเภท เชื่อว่าเพราะร่างกายตัวเองมีปัญหากับสารกระตุ้นที่ส่งผลต่อระบบประสาทและสมองค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไข หรือดำเนินการรักษาตัวเองอย่างไรค่ะ เพราะ การเรียน เกรดตกมากๆ ทำงานก็ผิดพลาด หนูควรศึกษาและวางแผนดูแลตัวเองอย่างไรค่ะ ตอนนี้เครียดมากๆค่ะ |
|
อายุ: 26 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 51 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.29 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
21 พฤษภาคม 2557 01:31:02 #2 กระแสความคิดของคุณสับสนมากครับ นี่คืออาการสำคัญอันหนึ่งของโรคจิตเภท ผมจึงมีความเห็นเหมือนคุณหมอที่ดูแลคุณอยู่ว่าคุณกำลังป่วยด้วยโรคจิตเภท สิ่งที่คุณต้องทำคือดูแลตัวเองตามที่หมอแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการกินยาหรือการปฏิบัติตัวต่างๆ เพราะมันคือวิธีที่จะช่วยให้คุณหายจากโรคนี้ครับ นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร |
Anonymous |
22 พฤษภาคม 2557 02:40:36 #3 ขอบคุณค่ะ สำหรับคำแนนะนำ...แต่หนูอยากได้วิธีการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันเพื่อดูแลตัวเอง หนูคิดว่า อาการผิดปกติเกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารและเครื่องดื่มและการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลง เพราะปกติ หนูตื่นตีสี่ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หกโมงเช้าตักบาตร เก้าโมงไปเรียน ห้าโมงเย็น สวดมนต์นั่งสมาธิ วิ่งบ้าง เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำบ้าง ตีแบท ให้เวลา 2 ชมกับการอ่านหนังสือ อาหารที่ทานส่วนให้เป็น ผักและผลไม้ ไม่มีอาหารทอด หรือผัด เน้นปลาเป็นหลักหรือน้ำพริกผักต้มไม่ทานชา กาแฟ น้ำอัดลม แต่พอเจอภาวะภูมิแพ้กำเริบ หนูก็ไม่สามารถออกกำลังกายที่ชื่นชอบได้ เลยหยุดรักษาตัว ด้วยการทานยา และทายา แล้วก็อยากทานกาแฟ ชา เครื่องดื่มบำรุงสมอง แล้วความสุขในชีวิตก็ลดลง นอนตื่นสายขึ้น ทานอาหา่รเยอะขึ้น พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป หนูใช้เวลากับการรักษาตัว 1 ปี ได้อาการหลงลืม เบลอๆ วันนี้เลยตัดสินใจ หลังตื่นนอนดื่มน้ำทันที ทานอาหารเช้า 07.00 ทำงาน 08.00-17.00 ทานข้าวเย็น 18.00 สวดมนต์นั่งสมาธิและออกกำลังกาย 20.00 พักผ่อน แล้วชีวิตหนูก็ค่อยๆดีขึ้น ปริมาณความสุขเพิ่มขึ้นมา ตอนนี้หนูเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองค่ะ และจะทดลองรักษาตัวเองด้วยองค์รวมค่ะ |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
23 พฤษภาคม 2557 04:07:21 #4 การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องดีครับ มันช่วยให้เราแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยและเกิดความสบายใจขึ้น แต่ทั้งหมดมันไม่ได้มีผลถึงขนาดทำให้โรคจิตเภทหายนะครับ ยังไงการรับประทานยาก็ยังจำเป็นสำหรับโรคนี้อยู่ ส่วนการดูแลตัวสุขภาพทั้งกายและใจนั้นจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของยาครับ นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร |
Anonymous |
24 พฤษภาคม 2557 15:30:30 #5 คุณหมอช่วยเล่า ความหมาย สาเหตุ การจำแนกโรค อาการ อาการแสดง และการรักษา ให้หนูฟังได้ไหมค่ะ พอดีหนูไปอ่านในหนังสือแล้วติดอยู่หลายจุดค่ะ หนูอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรับมือกับตัวเองได้ถูกค่ะ |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
28 พฤษภาคม 2557 01:35:47 #6 โรคจิตเภทเป็นความผิดปรกติของ "ความคิด" ของคนเรา อาจจะออกมาในแบบกระแสความคิดที่สับสน ไม่ปะติดปะต่อ ความหลงผิด หูแว่วและประสาทหลอน จากความผิดปรกติของความคิดทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหรืออาการที่แสดงออกไปตามความหลงผิดนั้นๆ ได้ เช่นหลงผิดคิดว่ากำลังถูกคนตามฆ่า ก็อาจจะมีพฤติกรรมพกอาวุธเพื่อป้องกันตัวเอง ไปแจ้งความไว้กับตำรวจว่าตนเองกำลังถูกปองร้าย เป็นต้น และผู้ป่วยจะไม่ยอมรับว่าตนเองกำลังป่วย สาเหตุเกิดจากอะไรยังไม่มีใครทราบ ทราบแต่เพียงว่ามันทำให้สมองบางส่วนทำงานบกพร่องไป การรักษาที่ใช้อยู่ในตอนนี้คือการใช้ยาเพื่อปรับการทำงานของสมองให้กลับมาปรกติดังเดิม จิตเภทเป็นโรคเรื้อรังการรักษาจึงต้องใช้เวลานาน แต่ก็เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปรกติ ในขณะนี้ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษาอื่นๆ ที่ได้ผลนอกเหนือจากการใช้ยา นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร |
Anonymous |
28 พฤษภาคม 2557 03:25:44 #7 1. เราสามารถตรวจร่างกาย เช็คได้ไหมค่ะ 2.หนูมีความเชื่อว่า เรื่องของจิตใจ มันต้องแก้ที่จิตใจถึงจิตใจถึงจะตรงจุด ถ้าเราปรับสภาพคามคิด และการดำรงชีวิตได้ หนูเชื่อว่าโรคนี้หายค่ะ แต่ถ้ามีความผิดปกติที่ร่างกาย หนูเชื่อว่า เราต้องสังเกตสารอาหาร สารเคมีที่ได้รับ สำหรับหนู หนูคิดว่าที่หนูอาจจะป่วยเพราะ หนูทานยาไม่ครบเมื่อครั้งรักษา TB ซึ่งยาTBทำลายระบบประสาท ประกอบกับรักษาอาการภูมิแพ้ ทานยาเกิน 6 เดืือนด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สภาพการใช้ชีวิตของหนูเปลี่ยนไปและร่างกายต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ เพราะย้ายที่อยู่ ทำให้วิถีการดำรงชีวิตแบบเดิมสูญหายไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านทำให้หนูรู้ว่าร่างกายหนูไวต่อการตอบสนอง สารปรุงแต่งอาหาร คาเฟอีน และอาหารที่กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท หากเราหลีกเลี่ยงชีวิตก็เป็นปกติสุขค่ะ บอกตรงๆเลยค่ะ ตั้งแต่ทานยามา ไม่มีความสุขเลยค่ะ มันมึนๆ เพลียๆ เบลอๆ หลงๆลืม ทรมานมากๆค่ะ หนูเชื่อว่่าการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตแก้ได้ค่ะ และหนูก็ลงมือแล้ว ผลออกมาดีค่ะ ทดลองมา 2 อาทิตย์จิตสงบ มีความสุขมากๆ อาการหลงลืมก็หายไป หนูไม่ได้บอกว่าการรักษาแบบวิทยาศาสตร์ไม่ดีนะค่ะ แต่หนูมองว่ากลไกการปรับสมดุลในร่างกายมนุษย์อัจฉริยะในตัวเองอยู่แล้วค่ะ ตอนนี้หนูโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรูกระบวนการนี้ และหนูกำลังเรียนรู้มันอยู่ค่ะอยากไรก็ต้องรบกวนคุณหมอด้วยนะค่ะ สำหรับข้อมูลทางการแพทย์ คุณหมอรบกวนถามอีกนิดค่ะ เรามีหลักเกณ ฑ์อะไรในการแยกผู้ป่วยจิตเภท ออกจาก คนที่กำลังสับสนชีวิตเนื่องจากล้มเหลวในชีวิตค่ะ และแยกผู้ป่วยจิตเภท ออกจากการถูกคุณไสยค่ะ อันนี้สงสัยส่วนตัวค่ะ |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
30 พฤษภาคม 2557 02:23:46 #8 ขอตอบเป็นข้อๆ นะครับ 1) ในขณะนี้เรายังไม่มีวิธีการตรวจร่างกายเพื่อการวินิจฉัยโรคจิตเภทครับ 2) การรักษา "โรคจิตเภท" ด้วย "การปรับสภาพจิตใจ" มีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนเพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถใช้ได้จริง แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ ในการใช้กับผู้ป่วยโรคจิตคงไม่สามารถทำได้ทุกราย เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย และในบางรายอาการหลงผิดที่เกิดขึ้นก็ทำให้การใช้เหตุผลของผู้ป่วยเสียไปจึงทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการที่ว่านี้ได้ 3) "คนที่กำลังสับสนกับชีวิต" และ "กระแสความคิดที่สับสน" เป็นเรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้องกันได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน 4) ในการพิจารณาแยกอาการหลงผิดของผู้ป่วยออกจากสิ่งที่เป็นเรื่องของความเชื่อนั้น เราจะเอาบรรทัดฐานของสังคมมาเป็นตัวประกอบในการตัดสินร่วมกับตรรกะทางวิทยาศาสตร์ครับ สังคมไทยแม้จะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ก็ไม่ได้เชื่อกันแบบเอามาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไสยศาสตร์เป็นเพียงองค์ประกอบย่อยเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจเท่านั้นครับ นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร |
Anonymous |
30 พฤษภาคม 2557 05:52:54 #9 ขอบคุณค่ะ แต่สำหรับหนู หนูก็ยังคิดว่าหนูแต่เจอวิกฤตในชีวิต เพราะหนูตั้งเป้าหมายว่าอยากเป็นพยาบาล เพราะต้องการเอาความรู้มาดูแลตัวเองและครอบครัว แต่สุดท้ายหนูก็ไม่สามารถจัดการกับโรคที่ตัวเองเป็นอยู่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็ฯอะไรกันแน่ ใจหนูบอกว่าหนูไปเป็ฯภูมืแพ้แน่ ๆแต่ก็ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าเครียด ซึ่งหนูก็ไม่เข้าใจว่าหนูเครียดเรื่องอะไร เพราะชีวิตหนูก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็มีแค่เบือที่อยากอ่านหนังสือ แต่ก็ต้องนอนพักเพราะไมเกรน ไปเดินทางเจอคนสูบบุหรี่มา บางทีก็แอร์ในห้องเรียนมันเย็นเกินไป แต่ก็พยายามออกไปวิ่ง ไปว่ายน้ำ แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือ หูอื้อ ตาลาย ชาปลายมือปลายเท้า มึนงง คิดช้า จะหล่ับอย่างเดียว เอายาทานก็กลับตกใจง่าย หัวใจเต้นเร็วรักษาพักใหญ่ เลยตัดสินใจ ซื้อยาพ่นมาใช้เอง อาการนี้ก็หายไป แต่ได้อาการ เหงืออกที่คอจำนวนมาก หัวใจเต้นเร็ว แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปวัยเด็ก คิดถึงบรรยาการศเก่า คิดถึงเพื่อน คิดถึงความสุข ที่บ้านเลยพอไปหาหมอ ตอนนั้นสื่อสารไม่รู้เรื่อง เพราะมัวแต่ใส่ใจกับเรื่องราว ในวัยเด็กหมอให้ยามาทาน ก็ผื่นขึ้น ต้ำหลาไลไม่หยุด นอนไม่หลับ กระสับการส่าย หมอบอกเป็นไบโพล่า ไปหาหมอที่กรุงเทพ เล่าอาการให้หมอฟัง หมอสรุปว่า เป็นภูมิแพ้จมูก ชนิดเฉียบพลัน อาการดังกล่าวเกิดจากการรักษาที่ซ้ำซ้อนและเกินขนาดของยา และมีอาการแพ้ยาพ่นจมูก ให้กลับไปเรียนต่อได้ แต่อาจารย์ไม่ยอมเพราะคิดว่าเป็นไบโพลาร์ จึงต้องตัดสินใจลาออก ตอนนั้นเลิกติดต่อเพื่อน คนรัก ย้ายที่เรียน พร้อมหนี้สินก้อนโต กลับไปเรียนปี1 ใหม่ บอกตรงๆค่ะ ความหวังพังทลาย ตัวเองล้มเหลว กลับมาหางานทำ แล้วเรียน เลือกที่ใกล้บ้าน อยูหอ แพ้อาหาร แพ้น้ำ แพ้อากาศ ประกอบกับคนแถวบ้านเข้ามาวุ่นวาย พาไปหาพระ ร่างทรง อะไรเยอะแยะไปหมด ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ตกลงตัวเองเป็นอะไร ประเด็นคือกลัวเรียนไม่จบ ทักมามากมายต้องทำหลายอย่างไม่งั้นไม่จบ กลัวค่ะแต่ ทุกวันก็ตักบาตร สวดมนต์ ตามเช่นปกติ เย็นออกไปตีแบท วิ่ง ว่ายน้ำ หลังๆก็ไปทำงานห้องสมุด หารายได้ ชีวิตก็มีความสุขดี จนกระทั่งพบรุ่นพี่ คุยกัน ไปๆมาๆเค้ารับขันธ มีองค์ อะไรก็ไม่รู้ บอกว่าเราเป็นร่างทรง ตั้งแต่คุยกับพี่เค้าคุณภาพจิตใจก็แย่ลง เกิดเหตุการณฺแปลกๆมากมายที่ไม่ใช่วิถึปกติ ตัดสินใจเลิกสนทนา เหตุการณ์ก็เริ่มกลับมาปกติ กลับมาสนใจการเรียน คิดอยากทานอาหารเสริม ไปทานแบรนเม็ด พอทานหมดไปซื้อแบบคู่มา เป็น แบรนมัลติ และแบรน์เม็ด ทานไปเช้าเย็น สอบ 4 วันรวด ทานตลอด สอบมหาลัยปิดกลับมาสอบต่อมหาลัยเปืด ทานโออิชิเช้าไป 3 ขวด แล้วไม่ขับปัสสาวะเลย รู้สึกนอนไม่หลับ เลยคิดจะเก็บบ้าน ที่บ้านเห็นผิดปกติ จับเข้าโรงพยาบาล หมอจับฉีดยา และให้ยากิน ไม่มีแรงเดิน เหม็นอาหารคลั่นเนื้อครั่นตัว หมอมาตรวจจึงให้กลับบ้าน ตั้งแต่วันนั้น การเรียนก็ตกต่ำ จาก 3.20เหลือ 2.30 สมองช้า ไม่ค่อยคิด ไม่ใส่ใจโลก เหงา ปิดเทอมไปฝึกงาน เกิดปวดหัวไมเกรน แทบจะระเบิด หายมาก็เบรอๆ หลงๆลืม พยายามทานอาหารเสริม เป็นไมเกรนตัดสินใจกินกาแฟ ปวดหัวจีด แล้วก็หลงๆลืม ตัดสินใจอาการเสริมแบรนเจนยู คราวนี้เข้าโรงบาลหมอบอกไปโพลาร ให้ยามาทานคิดจะฆ่าตัวตาย นอนไม่ได้ เปลี่ยนหมอ ทำแบบทดสอบออกมาเป็นจิตเถท กินยามาจนปัจจุบัน เกรดก็ตก ความคิดก็สับสน ท่ายืนก็เปลี่ยนไป อารมณ์เฉยๆ เครียดมากเพราะสมองไม่ไหวเหมือนเก่า ไม่สนุกกับการเรียนเช่นเคย ตอนนี้รักษมา 1 ปีแล้ว อาการก็ทรงตัว หลงลืมตามเดิมถ้าทานยาไป แบบไม่มีความสุข วันไหนลืมทานยา โอ้วพระเจ้าสวรรค มีความสุขมาก สมองรื่นไหล มีแรงขับเคลื่อนทำตั้งมากมาย บางทีออาจเป็นการซ็อคมองเมื่อครั้งทางกาแฟชะมดเมื่อดือนเมษา เกิดออาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นช้า เพลีย แต่พอรุ่งเช้า นอนหลับไป ครึ่งวัน มีอาการไข้ต่ำ ๆแต่สมองสดชื่น ความคิดลื่นไหล แต่ตกเย็ฯทานยา ไม่มีความสุข สมองช้าตามเดิม หนูมีความเชื่อว่า หนูกลับสู่สภาพปกติแล้ว และอยากทำการตรวจสุขภาพจิตใหม่อีกครั้งแต่ไม่อยากใช้นักจิตวิทยาคนเดิม หนูจะไปตรวจได้ที่ไหนค่ะ หนูอยากทราบว่า ถ้าหนูแบบทดสอบสองที่ผลจะออกมาเหมือนกันไหม จะได้วางแผนรักษาตัวเองต่อไปค่ะ อยากรู็ตนต่อของโรค อาการการแสดง พยาธิสภาพ กระบวนการรักษา ระยะเวลาการักษา การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต บอกตรง ๆตอนนี้ใจหนูก็ยังเชื่อว่าหนูสับสนในชีวิต เพราะเรื่องที่ผ่านเข้ามาสัมพันธ์กับ กาย และจิตใจในเวลาเดียวกันซึ่งเราไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ แต่วันนี้หนูเรียนจบแล้ว มีเวลามากมายที่จะรือชีวิตตัวเอง เพื่อรักษา หนูอยนากทดลองใช้ธรรมชาติ ของอาหาร และธรรมะบำบัดค่ะ ในการรักษาตัวเองค่ะ หนูเชื่อว่ามันได้ผลและหนูจะลองทำมัน อย่างไร หนูต้องรบกวนข้อมูลทางการแพทย์ของคุณหมอด้วยนะค่ะ หนูอยากให้การทดลองครั้งนี้สำเร็จ จะได้สร้างคุณภาพชีวิตของคนที่เป็นแบบหนูได้กลับมารู็จักความสุขอีกครั้ง หนูต้องสร้างโปรแกรมคิดบวกใส่ลงไปในสมองหนูให้ได้ เพราะตอนนี้สมองของหนูสร้างแต่โปรแกรมลบซึ่งเปฯอันตรายต่อการดำรงชีวิตของร่างกาย คุณหมอคิดว่าอย่างไรค่ะ กับความคิดของหนูและข้อมูลด้านล้าง |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
1 มิถุนายน 2557 12:14:10 #10 การรักษา "โรคจิตเภท" ด้วย "การปรับสภาพจิตใจ" มีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนเพียงพอที่จะสรุปว่าสามารถใช้ได้จริง แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ ในการใช้กับผู้ป่วยโรคจิตคงไม่สามารถทำได้ทุกราย เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย และในบางรายอาการหลงผิดที่เกิดขึ้นก็ทำให้การใช้เหตุผลของผู้ป่วยเสียไปจึงทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการที่ว่านี้ได้ |
Anonymous |
3 มิถุนายน 2557 08:54:18 #11 ถึงแม้ว่าหนูไม่อาจจะหาสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บป่วยของตัวเองได้ แต่ก็จะยังคงรักษาร่างกายแบบองค์รวมต่อไปค่ะ เพราะทุกวันนี้ หนูมีความสุขมาก ๆค่ะ ได้ตื่นนอนแต่เช้า สวดมนต์นั่งสมาธิ ได้ตักบาตร ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ ทำสวน เล่นกับสุนัข และอกกำลังกายในยามเย็น หนูเชื่อว่าสักวันหนึ่ง หนูคงจะเข้าใจและแยกสาเหตุของโรดค่ะ ขอบคุณข้อมูลดีๆที่คุณหมอแนะนำนะค่ะ ขอยืนยันให้วิธิดนตรีบำบัด ธรรมชาติบำบัด และ ธรรมะบำบัดในการรักษาตัวเองต่อไปค่ะ
|
Anonymous |
3 มิถุนายน 2557 08:59:06 #12 ปล....แถมอีกนิดค่ะ คุณหมอไม่สนใจ นำทฤษฎิมาสู่ภาคปฏิบัติบ้างรึค่ะ จะได้มีวิธีรักษาคนไข้ในแบบที่ไม่ต้องทรมานกับการใช้ยา แต่ปรับเปลี่ยนทัศนคติทางความคิด และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ปรับเปลี่ยนสภาพสังคมนะค่ะ หนูเชื่อมันทำได้ค่ะ ลองกันสักตั้งไหมค่ะคุณหมอ มันมีแต่ผลดีมากกว่าผลเสียนะค่ะ เพราะอย่างน้อย ๆมันสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให่กลับผู้ป่วย และสามารถทำให่ผู้ป่วยกลับเข้าสู่สังคมอย่างรวดเร็วขึ้น และคุณหมอเองก้ได้บูรณาการต่อยอดทางความความคิดและองค์ความรู้ที่ได้ศึกษามาค่ะ หนูเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถคะ |
นพ. อุดม เพชรสังหาร(จิตแพทย์) |
5 มิถุนายน 2557 04:24:52 #13 คงไม่ล่ะครับ ขอบคุณครับ
นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร |
Anonymous