เรียน คุณ 8fd34,

คำถามง่าย แต่ตอบค่อนข้างยาก เนื่องจากขึ้นกับว่าจะนำไปใช้กับใคร หวังผลประโยชน์ด้านใด
แต่ขอตอบคร่าว ๆนะครับ น้ำมันปลา ต่างจากน้ำมันตับปลา

- น้ำมันปลาประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3, 6 และ 9 ขึ้นกับว่าสกัดจากปลาทะเลชนิดใด สัดส่วนก็จะแตกต่างกันไป กรดไขมันไม่อิ่มตัว จะประกอบด้วย DHA และ ARA ร่างกายเมื่อดูดซึมแล้วก็จะนำไปสังเคราะห์ฮอร์โมนและสารสื่อประสาทได้หลายประเภท ขึ้นกับช่วงวัยของผู้รับประทาน

- น้ำมันตับปลา สกัดจากตับของปลา ส่วนประกอบหลักคือวิตามินที่ละลายในไขมัน A, D, E และ K ใช้รับประทานเสริมสำหรับผู้ที่ขาดวิตามินดังกล่าว

• วิตามิน A ช่วยเรื่องสายตากับผมและผิว
• วิตามิน D ช่วยเรืองการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
• วิตามิน E ช่วยเรื่องผิวพรรณ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
• วิตามิน K ช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือด ไม่ให้เลือดออกง่าย

น้ำมันปลา ถ้าเป็นในเด็กทารกและเด็กวัยก่อน 3 ปี หวังในเรื่องพัฒนาการทางสมอง แต่หากเสริมมากเกินไปจะทำให้เกิดรสขมในนม หรือกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้

ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด ป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

ถ้าเป็นผู้หญิง บางงานวิจัยนำไปใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน หรือ มีเลือดออกมาก
หากเป็นในหญิงตั้งครรภ์ บางงานวิจัยพบว่าเด็กจะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่คลอดจากมารดาที่ไม่ได้รับการเสริมน้ำมันปลา

แต่ไม่ควรรับประทานในช่วงใกล้คลอด เนื่องจากอาจส่งผลให้มดลูกบีบตัวน้อยลง และอาจทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก

หากไม่มีข้อบ่งใช้ในการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนี้ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดหัวใจอุดตันฯ แนะนำให้รับประทานเนื้อปลาทะเลจะดีกว่านะครับ นอกจากได้โปรตีนที่ดี มีคุณค่า ย่อยง่าย ไม่ต้องกลัวสารปนเปื้อนจากสายการผลิต อิ่มท้อง และยังได้กรดไขมันจำเป็นที่ใหม่สดกว่าด้วย ราคาก็ไม่แพงเท่าน้ำมันปลาสกัดด้วยครับ เน้นว่าต้องเป็นปลาทะเลนะครับ ง่าย ๆก็พวกปลาทูนึ่ง หรือต้ม ก็ได้ครับ

ก่อนใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรประจำร้านยาก่อนนะครับ จะได้พิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล