กระดานสุขภาพ

อยากทราบว่า Claron (500mg) กับ Augclav (1000mg)
FanC*****o

23 มิถุนายน 2556 23:01:36 #1

อยากทราบว่า Claron (500mg) กับ Augclav (1000mg)

สามารถ ทานร่วมกันเพื่อ ฆ่าเชื้อได้หรือไม่

พอดีผมพึ่งทานยา Claron (500mg) ไป เมื่อวานซื้อยามาก็เลยไม่กล้าทานน่ะครับ

ป.ล.1 ผมติดเชื่อบริเวณที่คอ และ จมูก 1-2 วันไม่เป็นไร แต่ พออาการดีขึ้น ไอ มันซะงั้น กินไข่ได้หรือเปล่า

ป.ล.2 ผมดื่มน้ำอหภูมิ ห้อง กับ น้ำอุ่น 

ขอบคุณล่วงหน้าที่าตอบครับ

อายุ: 30 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 85 กก. ส่วนสูง: 175ซม. ดัชนีมวลกาย : 27.76 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
FanC*****o

24 มิถุนายน 2556 00:00:46 #2

Edit

อยากทราบว่า Claron (500mg) กับ Augclav (1000mg)

สามารถ ทานร่วมกันเพื่อ ฆ่าเชื้อได้หรือไม่ บางครั้งกินจนแผงแล้วยังไม่หาย พอกินแผงที่ 2 แล้วอาการดีขึ้น กินแล้วดื้อยาหรือเปล่า

อาการ

ติดเชื่อบริเวณที่คอ และ จมูก(มีอาการแสบจมูกมากๆ) มีอาการไอร่วมด้วยหลังจากที่อาการแสบจมูกหายไปแล้ว

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

24 มิถุนายน 2556 17:23:31 #3

เรียน คุณ FanClubNaruto,

ยาทั้งสองรายการ เป็นยาปฏิชีวนะใช้เพื่อยับยั้งหรือกำจัดเชื้อแบคทีเรีย แต่เป็นยาคนละกลุ่มกัน

  • Claron หรือ clarithromycin เป็นยาในกลุ่ม Macrolide หรือกลุ่ม Erythromycin
  • Augclav 1000 milligram ตัวยา amoxicillin + clavulanic acid

ใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือ ทางเดินปัสสาวะ หรือ การติดเชื้อที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร (H. pylori)

ส่วนใหญ่ใช้ตัวยาเดี่ยวนะครับ ยกเว้นการรักษาเชื้อ H. pylori ซึ่งมีแคปซูล ทนทานสูง ต้องใช้ยาหลายรายการจึงจะกำจัดเชื้อดังกล่าวได้ผล จึงอาจพบการใช้ยาสองรายการนี้ร่วมกัน

  • การเลือกใช้ Claron มักใช้กรณีติดเชื้อไม่รุนแรงนัก หรือผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน ข้อเสียที่พบคือมักทำให้มีรสขมในคอ เนื่องจากตัวยาจะมีการวนเวียนออกทางน้ำลาย ช่วยลดปริมาณเชื้อในลำคอได้ค่อนข้างดี แต่ผู้ป่วยมักไม่ชอบนัก ปรับได้โดนการจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อลดปริมาณตัวยาที่สะสมบริเวณลำคอ
  • ส่วน Augclav มักใช้กรณีที่มีการติดเชื้อค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากตัวยาเหมาะกับเชื้อที่ค่อนข้างดื้อยาอื่น หรือเคยใช้ Amoxicillin เดี่ยว ๆมาแล้ว 2-3 วัน อาการติดเชื้อไม่ดีขึ้น ตัวยาครอบคลุมเชื้อค่อนข้างกว้าง ได้ผลค่อนข้างไว ข้อเสีย คืออาการต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลว เกิดเนื่องจากเชื้อประจำถิ่น (Normal Flora) ในลำไส้ถูกกำจัดไปด้วย ทำให้เชื้อที่ทำให้เกิดโรคเจริญเร็วขึ้น จนเกิดการท้องเสียถ่ายเหลวได้ ปรับได้โดยการรับประทานโยเกิร์ต หรือ นมเปรี้ยวที่มีเชื้อ Lactobacillus เสริม (ที่ไม่ใช่ยูเอชที)

หลักการทางการแพทย์ จะใช้ยาปฏิชีวนะต่อเมื่อมีอาการที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะเขียว (ทั้งวัน ไม่ใช่เฉพาะตอนเช้า) มีไข้ เจ็บคอ เมื่อส่องกระจกดูจะเห็นว่าต่อมทอนซิลด้านข้างมีสีแดงกว่าส่วนอื่น ๆ

หากรับประทานยาปฏิชีวนะไปจนอาการหายเป็นปกติแล้ว ภายใน 1 เดือนหากมีการติดเชื้ออีกมักไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตัวเดิม เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยาได้ ระยะเวลาที่รับประทานมักใช้ 5-7 วัน แต่อาจใช้นานกว่านี้ถ้าเป็นการติดเชื้อที่ลึกเข้าไปด้านในของร่างกาย เช่น โพรงไซนัส หรือเยื่อบุปอด หากรับประทานยาจนครบแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์นะครับ เพื่อพิจารณาเลือกยาให้เหมาะกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรค หรือ เชื้อที่กำลังระบาดอยู่

ป.ล. 1 ถ้ารับประทานยาครบขนาดแล้ว และไม่มีอาการของการติดเชื้อ ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต่อนะครับ อาการไอ อาจเป็นอาการหลังการติดเชื้อ บางทฤษฎีว่าเป็นส่วนหางของเชื้อที่ฝังไว้กับเนื้อเยื่อของเรา ทำให้เกิดอาการระคายเคือง ไอ แต่ไม่มีเสมหะ ไม่มีไข้ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ให้รักษาตามอาการครับ อาหารทานได้ตามปกตินะครับ เพียงแต่งดอาหารมัน ทอด หรือรสจัด รวมถึงงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยครับ

ป.ล. 2 ดื่มน้ำสะอาดอุ่น หรือ ที่อุณหภูมิห้องก็ได้ แต่ควรงดน้ำเย็น เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกหรือเสมหะข้นเหนียว ทำให้เกิดอาการไอเพิ่มขึ้น

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  1. ลองพิจารณาสมุนไพรไทย ฟ้าทะลายโจรนะครับ มีฤทธิ์ต้านเชื้อได้เหมือนกัน ลองดูของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็ได้นะครับ วิธีใช้ดูตามข้างขวด
  2. หลังจากรักษาจนหายดีแล้ว ลองลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์นะครับ อาจช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นได้ครับอาหาร รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้สดสะอาด ออกกำลังกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ ไม่ต่ำกว่า 30 นาที นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด พบว่าเมื่อคนเราเครียดจะหลั่งฮอร์โมนสเตียรอยด์ออกมา เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ บวม แต่มีผลเสียคือทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร รวมถึงลดภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ

แนะนำบทความดี ๆของกองบรรณาธิการเรานะครับ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)

เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร

เป็นกำลังใจให้ครับ

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

FanC*****o

25 มิถุนายน 2556 01:25:11 #4

ขอบคุณมากครับผม

ผมขออนุญาต ถาม เพิ่มอีกนิดน่ะครับ

ผมเข้าใจว่า

Augclav (1000mg) ถ้ากินไม่หมด หรือ บ่อย หรือ กินไม่ได้ขนาด เชื้อจะดื้อยาแน่นอน

-อยากถาม Claron (500mg) ตัวนี้ กินแล้วเชื้อดื้อยาหรือเปล่า เพราะผมเคยไปถามที่ร้านขายยา เห็นบอกว่า ไม่ดื้อ ติดเชื้อเล็กน้อยก็กินได้ ดีกว่า ร็อกซิโทรมัยซิน 300 mg เยอะ เห้นบอกว่า กินได้บ่อยด้วย ซึ่งผมเองก้ไม่มั่นใจเท่าไร

เข้าว่ายาตัวนี้เข้าไปยับยั้ง การเจริญเติบโตและ ใช้ภูมิต้านทานร่้างกายกำจัดออกไป

ส่วน Augclav 1000mg อันนี้ ฆ่าเชื้อเลย มันเข้าไปเจาะแคปซูปของเชื้อ

สรุป คำถาม

- Claron (500mg) กับ Roxithromycin 300 mg. กินได้บ่อยหรือไม่แล้วเชื้อดื้อยาหรือไม่

-Ampicillin 1000mg อย่างเดียว กับ Ampicillin 875mg + Clavulanice Acid 125mg ของ Augclav ต่างกันอย่างไร

-การกิน Claron (500mg) กับ Augclav 1000mg ร่วมกัน ตัวยามันจะตีกันหรือเปล่า แทนที่ไปรักษาแต่มันตีกันเองหรือไม่

-อาการไอที่ เป็นหางเชื้อ นี้ ต้องรอให้เสหะ ในปอดและเชื้อดรคตายหมด ถึงจะหายใช่ไหม และในระหว่างนั้นต้อง อมยาสเตร็ปซิลแบบละลามเสหะ เพื่อให้อาการไอนั้นจะช่วยได้มากน้อยขนาดไหน (ดื่มน้ำอุ่นด้วย)

ต้องขอโทษที่ถามเยอะ อาจจะมาไปนิด แต่คำตอบที่ ท่านตอบมา มีประโยชน์สำหรับผมมากมายมหาศาลจริงๆ น่ะครับ

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

26 มิถุนายน 2556 15:36:10 #5

เรียน คุณ FanClubNaruto,

- คำถามแรก: การที่เชื้อดื้อยา หมายถึง การได้รับยาปฏิชีวนะตัวใดก็ตามไม่ครบขนาดหรือระยะเวลาที่จำเป็นต้องได้รับ เมื่อเชื้อที่เคยได้รับยาปฏิชีวนะดังกล่าว แต่ไม่ถูกกำจัด เซลล์ของเชื้อจะทำการ
ปรับตัวสร้างเอนไซม์หรือน้ำย่อย ที่ทำลายยาปฏิชีวนะตัวดังกล่าว หรือทั้งกลุ่ม ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเชื้อดื้อยาขึ้น
ดังนั้นไม่ว่ายาตัวใดก็ตามก็เกิดปรากฏการณ์เชื้อดื้อยาขึ้นได้ทั้งนั้น ที่เคยแจ้งไปก่อนหน้า คือทางการแพทย์มักเลี่ยงที่จะใช้ยาปฏิชีวนะที่เคยรักษาไปก่อนหน้าภายในไม่ถึง 1 เดือน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยาด้วย

- Amoxicilin กับ Amoxicillin + clavulanate ต่างกัน คือ Clavulanate เป็นสารยับยั้งไม่ให้เชื้อปล่อยน้ำย่อยออกมาย่อยตัวยา Amoxicillin ทำให้ตัวยายังคงอยู่ในการกำจัดเชื้อได้นานขึ้น
หากคุณได้ยาเดี่ยว ก็อาจจะต้องรับประทานยาในขนาดสูงมาก โดยไม่จำเป็น

- โดยทั่วไป เรามักไม่ให้ยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ 2 ตัวยาพร้อมกัน ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เช่นการรักษาเชื้อที่ก่อให้เกิดแผลในทางเดินอาหาร หรือกรณีที่เป็นการติดเชื้อที่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต เช่น ติดเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก กรัมลบ หรือเชื้อรา ในผู้ป่วยที่อยู่ในหอผู้ป่วย ICU.

กรณีนี้ คงต้องอธิบายกันยาวนิดนึง กลุ่มยาที่ยับยั้งเชื้อไม่ให้มีการเจริญเพิ่ม เช่น กลุ่ม Macrolide หรือ อีริธโธรมัยซิน รอให้ภูมิต้านทานของร่างกายย่อยสลายหรือกำจัดเชื้อไปเอง กลุ่มที่ทำลายเชื้อ ในที่นี้กลุ่ม เพนิซิลลิน ทำให้ผนังเซลล์ของเชื้อแตกสลายไป โดยไปทำให้ผนังเซลล์ไม่สมบูรณ์ ออกฤทธิ์ได้ดีต่อเมื่อ เชื้อกำลังเจริญเติบโต นึกถึงภาพเรากำลังก่อกำแพงรอบตัวเอง แต่เผลอหยิบอิฐที่ผุแทรกเข้าไปด้วย ทำให้กำแพงพังง่าย มีฝน หรือพายุ (ในที่นี้คือภูมิต้านทานของร่างกายเรา) ทำให้เชื้อถูกกำจัดได้เร็วขึ้น

หากคุณรับประทานยา 2 กลุ่มนี้เข้าไปพร้อมกัน ก็จะทำให้ยากลุ่มเพนิซิลลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เสียของไปเปล่า ๆ จ่ายแพง แถมโรคไม่หาย ยังได้อาการไม่พึงประสงค์จากยาทั้งสองกลุ่มอีกต่างหาก ทั้งท้องเสีย ขมคอ ท้องอืด ทั้งไอ เจ็บคอ ลองคิดดูเองก็แล้วกันครับ

- อาการไอ ที่เหลือไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ดังนั้น ใช้ยาที่บรรเทาอาการไอเท่านั้น ยาอมส่วนใหญ่มีฤทธิ์ชา ช่วยทำให้อาการไอ ระคายเคืองน้อยลง
หากมีเสมหะก็จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรืออมยาอมมะแว้ง หรือ ยาน้ำแก้ไอมะขามป้อมครับ งดรับประทานอาหารประเภทนมวัว เนื่องจากทำให้เกิดเมือกในทางเดินอาหารมาก
แต่ถ้าไอแห้ง ๆ ก็แนะนำให้รับประทานยาแก้แพ้ ตัวใดก็ได้ที่คุณใช้ได้ ไม่เกิดอาการข้างเคียง ลองสอบถามเภสัชกรประจำร้านยาดูนะครับ ทางการแพทย์เรามักเรียกว่า "ไอร้อยวัน" โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อมานาน รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ ก็ยิ่งต้องรักษาตัวนานครับ

คุณสามารถสอบถามข้อมูลจากเภสัชกรโรงพยาบาลหรือร้านยาได้ทุกที่นะครับ จะได้ปรับยาให้เข้ากับ lifestyle ของคุณ เนื่องจากกองบรรณาธิการของเราไม่ได้ประจำหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา
หวังว่าจะตอบคำถามของคุณนะครับ

แนะนำอ่านบทความดี ๆของกองบรรณาธิการของเรานะครับ

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)  โดยเภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

FanC*****o

26 มิถุนายน 2556 23:31:44 #6

ขอบคุณมากมายครับผม ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ทีนี้ผมก็เอาบอกเพื่อนที่ เขากิน ไอ้ตัวยา 2 ตัวนี้พร้อมกัน ส่วนตัวผมเมื่อรู้ก็ไม่กิน 2 ตัวนี้พร้อมกันแน่นอน แล้วก็เรื่องขออาการไอด้วยน่ะครับ

ขอขอบคุณคุณหมอเป็นอย่าสูงที่ให้ คำตอบดีๆ น่ะกับผมครับ