กระดานสุขภาพ
ทานยาคุม yaz แล้วประจำเดือนไม่หยุด | |
---|---|
5 มิถุนายน 2561 08:46:41 #1 ทานยาคุม yaz ต้้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาค่ะ แต่ตอนนี้ครบ 2 สัปดาห์แล้ว ยังมีเลือดออกมา แต่มาแบบกระปริดกระปอยค่ะ อยากทราบว่านี่คืออาการข้างเคียงของยาคุมใช่มั้ยคะ และอยากทราบวิธีที่จะทำให้เลือดหยุดไหลต้องทำยังไงคะ ขอบคุณค่ะ |
|
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 51 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.29 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
5 มิถุนายน 2561 12:39:29 #2 เรียน คุณ 97fb3, การพิจารณาคัดเลือกยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลนั้น ในทางการแพทย์มักจะพิจารณาจากความเด่นชัดของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย โดยเบื้องต้นจะพิจารณาจากรูปร่างลักษณะทางกายภาพ ร่วมกับรูปแบบการมีประจำเดือน โดยต้องพิจารณาว่ามีข้อห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานหรือไม่ เช่น มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด มีประวัติก้อนที่เต้านม โรคลิ่มเลือดอุดตันที่ขา โรคตับหรือถุงน้ำดี เลือดออกจากมดลูกผิดปกติจากเดิม เช่นเป็นลิ่มเลือด หรือมีสีเข้มผิดปกติ หากไม่มีข้อห้ามใช้ดังกล่าว ต้องพิจารณาการรับประทานยาให้เหมาะสมกับฮอร์โมนเพศ ได้แก่ - ผู้ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเด่นชัด มักมีรูปร่างอกเอวชัดเจน รูขุมขนค่อนข้างเล็ก ขนบางหรือสีอ่อน ผิวแห้ง หรือผิวผสม ไม่คอ่ยเป็นสิว รูปแบบการมีประจำเดือนมักมาปริมาณมาก (อาจต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยวันละหลาย ๆครั้ง) หรือจำนวนวันติดต่อกันนาน เช่น 5-7 วัน ลักษณะนี้ ควรเลือกยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนปริมาณน้อย หรือมีฮอร์โมนโปรเจสตินเด่นชัด เพื่อให้เกิดสมดุลของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย - ผู้ที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินเด่นชัด มักมีรูปร่างค่อนข้างตรง อกเอวไม่ชัดเจน รูขุมขนค่อนข้างกว้าง หน้ามัน เป็นสิวง่าย ขนดกหรือหนา รูปแบบการมีประจำเดือนมักมีปริมาณต่อวันไม่มาก (อาจใช้เพียงวันละ 1-2 แผ่นก็พอ) หรือจำนวนวันมาน้อย 2-3 วันก็หมด แบบนี้ควรเลือกยาคุมกำเนิดชนิดที่มีปริมาณเอสโตรเจนเด่นชัด หรือเลือกยาคุมกำเนิดที่มีฤทธิ์ต้านกับโปรเจสตินด้วย เพื่อให้เกิดสมดุลของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย กลับมาที่คำถามของคุณ มีทางเลือก 2 ประการนะครับ คือ 1. รับประทานยาแผงนี้จนครบ แล้วดูผลว่าประจำเดือนยังคงมากะปริบกะปรอยหรือไม่ ส่วนใหญ่ร่างกายจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการปรับตัวให้เข้ากับระดับยาในเลือด หรือ 2. หากรับประทานยาหมดแผงนี้ไปแล้ว ยังคงมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ควรปรับเปลี่ยนชนิดยาให้เหมาะสมกับรูปแบบของฮอร์โมนเพศในร่างกาย สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยาใกล้บ้านได้นะครับ เนื่องจากมีหลายรูปแบบและยี่ห้อ รวมถึงราคาที่เหมาะสม แต่หากอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป ขอแนะนำเพิ่มเติมในการรับประทานยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ควรที่จะ - รับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกคืน เวลาคลาดเคลื่อน +/- ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับยาในเลือดค่อนข้างคงที่ตลอดวัน และป้องกันการลืมรับประทานยา นอกจากนั้น การรับประทานยาในเวลาก่อนเข้านอนนั้น มักจะค่อนข้างท้องว่าง ไม่ต้องกังวลเรื่องการแย่งดูดซึมของตัวยากับอาหาร และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่ร่างกายจะมีการหลั่งฮอร์โมนเพศ - รับประทานยา "ทุกชนิด" ด้วยน้ำเปล่าสะอาดเท่านั้น เนื่องจากเครื่องดื่มอื่นใด อาจทำให้ตัวยามีการละลายลดลง เกิดการตกตะกอน ร่างกายจึงไม่สามารถดูดซึมยาได้ เช่น ชา (ชาเขียว ชาขาว ชาแดง ชานม) กาแฟ โกโก้ นม (รวมถึงโยเกิร์ตพร้อมดื่ม) น้ำเต้าหู้ โซดา หรือน้ำอัดลม ฯ นอกจากนี้น้ำผลไม้บางชนิด จะกระตุ้นให้ตับที่เป็นแหล่งกำจัดยา ผลิตเอนไซม์หรือน้ำย่อยเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจึงเผาผลาญหรือกำจัดยาได้มากหรือเร็วขึ้น ระดับยาในเลือดจึงลดต่ำลง จนอาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือเกิดเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ เช่น น้ำเกรปฟรุต (จำพวกเดียวกับส้มโอ) น้ำส้มคั้น น้ำแอปเปิ้ล น้ำแครนเบอร์รี เป็นต้น - หากจำเป็นต้องใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร "ก่อน" การใช้ยาทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (ที่ชาวบ้านมักเรียกว่า "ยาตีกัน") จนอาจทำให้ระดับยาคุมฯในเลือดลดต่ำลง เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ หรือยาที่ต้องการใช้เพื่อการรักษาไม่ได้ผลตามที่ต้องการ กรณีมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรร้านยาใกล้บ้านได้ทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจช้าไป ไม่ทันการ เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่
|
Anit*****i |
8 มิถุนายน 2561 07:17:03 #3 เลือดนี้คงเป็นการปรับตัวของร่างกายอยู่ ลองทานไปก่อนสักสองสามอาทิตย์ดูค่ะ ถ้าเกิดว่ายังมีเลือดไหลอยู่ ฮอร์โมนของยาคุมยี่ห้ออาจจะแรงไป ลองเปลี่ยนมากินยาคุมที่ฮอร์โมนต่ำอย่างมินิดอซดูนะคะ เราเคยกินแล้วผลข้างเคียงไม่ค่อยมี |
Anonymous