เรียน คุณ cartoon123,

โดยทั่วไปหากรับประทานยาคุมกำเนิด ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยนะครับ แม้จะหลั่งใน อัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

เพราะจากกลไกการออกฤทธิ์ของยา หากรับประทานยาได้อย่างถูกต้องตัวยาจะยับยั้งไม่ให้มีไข่ตกได้ตั้งแต่รับประทานยาครบ 24 ชั่วโมงแรก ที่ไม่ใช่ปอ้งกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากร่างกายมนุษย์มีความผิดปกติได้ เช่น ในบางเดือนอาจมีไข่ตกมากกว่า 1 ฟอง หรือมีความผิดแผกของการทำงานของตับที่เป็นแหล่งกำจัดยา จนตัวยาลดระดับลงไป

จะมีการยกเว้นบ้าง ต้องใช้การสวมถุงยางอนามัยร่วมด้วย ในบางกรณีที่ระหว่างการรับประทานยาคุมกำเนิด แต่มีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย หรืออาเจียน หรือต้องรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมด้วย ที่อาจส่งผลลดระดับตัวยาคุมกำเนิดในเลือด หรือมีการติดเชื้อของอวัยวะเพศ (ทั้งชายและหญิง) เพื่อป้องกันการติดเชื้อกลับซ้ำไปมา
ขอแนะนำเพิ่มเติม ยกเว้นว่าคุณยังไม่ได้แต่งงาน การสวมถุงยางอนามัย นอกจากจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยนะครับ เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบชนิด บี/ซ๊ หรือหากโชคร้ายสุด คือ ไวรัสเอชไอวี ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด และยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - human Papillomavirus) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่ หรือมะเร็งองคชาติในเพศชายอีกด้วย

หากมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยา สามารถสอบถามได้จากแพทย์หรือเภสัชกรทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจช้าไม่ทันการ เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน "ยาตีกัน" จนเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

การคุมกำเนิด (Contraception)

แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา
สูตินรีแพทย์

ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา

สูตินรีแพทย์
ยาลดประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด (Common medications that reduce efficacy of birth control medications)

ภก. กรชัย ฉันทจิรธรรม