กระดานสุขภาพ

การกินยาคุมฉุกเฉิน
Anonymous

27 มีนาคม 2560 10:57:38 #1

หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินประจำเดือนของเดือนถัดไปจะเลื่อนนานมั๊ยค่ะ..คือเพิ่งเคยกินเปนครั้งแรกน่ะค่ะ
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.13 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

29 มีนาคม 2560 02:04:45 #2

เรียน คุณ 2f8d4,

ก่อนตอบคำถามของคุณ ขออนุญาตให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก่อนนะครับ คือ ยานี้ในทางการแพทย์ ใช้เมื่อไม่สามารถใช้การวางแผนคุมกำเนิดตามปกติได้ เช่น เมือ่ถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึม (จากการเก็บรักษา, การสวมใส่, การใช้น้ำยาหล่อลื่น หรือการถอดเมื่อเสร็จกิจ ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม) ไม่แนะนำให้ใช้แทนการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์สูงกว่าการคุมกำเนิดปกติ (คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับชนิดปกติ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์) และมีปริมาณฮอร์โมนสูงกว่าปกติมาก (1500 ไมโครกรัม เทียบกับปกติ 50-75 ไมโครกรัมเท่านั้น)

กลไกการออกฤทธิ์ คือ

  1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียวกว่าปกติ ลดโอกาสที่อสุจิจะเข้าไปผสมกับไข่
  2. ทำให้ท่อนำไข่ บีบตัวช้า/น้อยลง ลดโอกาสที่ไข่จะมาผสมกับอสุจิ
  3. ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกผิดปกติ ลดโอกาสที่ตัวอ่อน (หากมีการผสมของไข่กับตัวอสุจิ) จะไปฝังตัวและเจริญเป็นทารกได้

วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้องมี 2 แบบ คือ

  1. รับประทานยา 1 เม็ด ทันที แต่ไม่ควรเกิน 48 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นนับไปอีก 12 ชั่วโมง จึงรับประทานยาอีก 1 เม็ด วิธีนี้มีข้อดี คือ อาการคลื่่นไส้ อาเจียน ท้องอืด แน่นท้อง น้อยกว่าวิธีที่ 2 และหากมีเพศสัมพันธ์อีกก่อนถึงเวลารับประทานยาเม็ดที่สอง ก็ไม่ต้องรับประทานยาเพิ่มอีก แต่ข้อเสียคือ มักลืมรับประทานยาเม็ดที่สอง ทำให้เสีย่งต่อการตั้งครรภ์ได้
  2. รับประทานยาพร้อมกัน 2 เม็ดทันที แต่ไม่ควรเกิน 48 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ข้อดีคือสะดวก ไม่ต้องกลัวลืมรับประทานยา ข้อเสียคือ อาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด แน่นท้องสูงกว่าวิธีแรก และหากรับประทานยาไปแล้ว ต้องการมีเพศสัมพันธ์อีก ต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่น ไม่แนะนำให้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพิ่มอีก

อาการไม่พึงประสงค์ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง ท้องอืด ประจำเดือนกะปริบกะปรอย ประจำเดือนผิดปกติ (มาช้า มาปริมาณมาก/น้อยกว่าปกติ) ตั้งครรภ์นอกมดลูก

ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่า 2 ชุด ต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ (จากกลไกการออกฤทธิ์ข้อ 2 ที่ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง แต่อาจมีตัวอสุจิสามารถไปผสมกับไข่ได้ที่ปีกมดลูก เสี่ยงต่อการตกเลือดเสียชีวิตได้)

จากข้อมูลของยา คงพอตอบคำถามของคุณได้นะครับ ว่าประจำเดือนมักมาช้ากว่าปกติ โดยหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน 4-5 วัน จะมีเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ที่เกิดจากฮอร์โมนยา (ไม่ใช่เลือดประจำเดือนตามปกติ) จากนั้น ประจำเดือนจึงจะมา ซึงมักคลาดเคลื่อนจากกำหนดเดิมไป 1-2 สัปดาห์ แต่หากเกินกว่า 4 สัปดาห์ ประจำเดือนยังไม่มาตามปกติ

แนะนำให้ใช้ชุดอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ เพื่อทดสอบว่าเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือไม่

ขอแนะนำเพิ่มเติม หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน และต้องการคุมกำเนิด แนะนำให้ใช้การสวมถุงยางอนามัยจะเหมาะสมกว่านะครับ นอกจากสามารถคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด เริม ตับอักเสบชนิด บี/ซี หรือโชคร้ายสุดอาจติดเชื้อ HIV ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง หรือหูดหงอนไก่ / มะเร็งองคชาติในเพศชาย

หากมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยา สามารถสอบถามได้จากแพทย์หรือเภสัชกรร้านยาใกล้บ้าน "ก่อน" การเริ่มต้นใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ "กันไว้ดีกว่าแก้" ครับ

ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจช้าไม่ทันการ เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือถึงแก่ชีวิตได้

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

  • ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill) แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์
  • การคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraception) นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ สูตินรีแพทย์