กระดานสุขภาพ
ยาคุมฉุกเฉิน | |
---|---|
27 พฤษภาคม 2558 14:01:54 #1 กินเม็ดแรก ไม่เกิน72 ชั่วโมงแต่เม็ด2เว้นจากเม็ดแรกเพียง1ชั่วโมงจะสามารถคุ้มกันได้ไหมครับ |
|
อายุ: 17 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 63 กก. ส่วนสูง: 173ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.05 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
28 พฤษภาคม 2558 14:15:33 #2 เรียนคุณ Teayba1990, การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน. ในทางการแพทย์จะนำมาใช้เมื่อไม่สามารถใช้การคุมกำเนิดตามปกติได้ เช่น เมื่อถูกข่มขืน หรือเมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาดรั่วซึมเท่านั้น (ซึ่งพบได้น้อยมากๆ หากมีการเลือกใช้ขนาดที่ถูกต้อง ไม่เล็กจนคับแน่นหรือใหญ่เกินไปจนหลวมหลุดได้ง่าย. มีการเก็บรักษาที่ถูกต้อง. ไม่ใกล้ที่ร้อน หากจะเก็บในกระเป๋าสตางค์ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกเดือน. เพื่อความมั่นใจ. ใช้เจลหล่อลื่นชนิดที่เป็นสูตรน้ำเท่านั้น เนื่องจากหากใช้ครีมหรือโลชั่น ส่วนผสมที่เป็นน้ำมันจะทำให้ฉีกขาดได้ง่าย. เวลาสวมต้องสวมขฯะอวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่. บีบไล่อากาศจากปลายกระเปาะ. เพื่อป้องกันตรงช่วงปลายแตกออก) ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ไม่นิยมนำมาใช้แทนการคุมกำเนิดโดยทั่วไป. เนื่องจากมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์สูงกว่ายาคุมกำเนิดปกติ คือมีอัตราเสี่ยง 8-15% เมื่อเทียบกับชนิดปกติ ที่น้อยกว่า 1% และตัวยายังมีปริมาณฮอร์โมนสูงมาก คือ 1500 ไมโครกรัม เทียบกับชนิดปกติที่มีเพียง 50-75 ไมโครกรัม กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ ประกอบด้วยหลักๆ 3 ส่วน คือ 1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว. ช่วยลดโอกาสที่ตัวอสุจิจะไปพบกับไข่ 2. ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง. ลดโอกาสที่ไข่จะเดินทางมาพบกับอสุจิ 3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาหรือบางผิดปกติ ลดโอกาสที่ตัวอ่อนจะมาฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไปได้ (หากมีการผสมของไข่กับอสุจิ) วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้องมีสองแบบคือ - รับประทานยา 1 เม็ดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง และรับประทานยาอีก 1 เม็ด หลังจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง วิธีนี้มีข้อดี คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียนค่อนข้างน้อย เนื่องจากแยกเม็ดยารับประทาน และหากระหว่างนั้นถ้ามีเพศสัมพันธ์อีก ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาอีก. ข้อเสียคืออาจลืมรับประทานยา จนเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ - รับประทานยาพร้อมกันสองเม็ดทันที หลังจากมีเพศสัมพันธ์. แต่ต้องไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก. วิธีนี้มีข้อดี คือช่วยป้องกันการลืมรับประทานยา ระดับยาสูงขึ้นในทันที แต่มีข้อเสียคือมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนค่อนข้างสูงกว่า. และหลังจากรับประทานยาไปแล้ว. ต้องการมีเพศสัมพันธ์อีก. ให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยแทน. ข้อแนะนำจากบริษัทยา ไม่ควรรับประทานยาเกินสองกล่องต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สาเหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก (กลไกที่สอง เมื่อท่อนำไข่บีบตัวช้าลง. แต่อสุจิผ่านเข้าไปได้ อาจเกิดการผสมและฝังตัวที่ท่อนำไข่ ซึ่งมีขนาดเล็กและบาง) แต่จากข้อมูลการศึกษาวิจัยย้อนหลังพบว่า สตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากกว่า "สามครั้งตลอดชีวิต" จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งอวัยวะต่างๆสูงหลายเท่าเมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิด หรือสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดชนิดปกติ. ที่พบได้บ่อย คือ มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ รวมถึงมะเร็งตับ เป็นต้น ส่วนคำถามของคุณน่าจะเข้าได้กับวิธีการรับประทานยาแบบที่สอง. ตัวยายังคงมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดตามปกติ แต่จากข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ. แนะนำวิธีการสวมถุงยางอนามัยจะสะดวกและปลอดภัยสำหรับคุณและฝ่ายหญิง. ซึ่งนอกจากช่วยคุมกำเนิดแล้ว. ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด เริม ไวรัสตับอักเสบชนิดบี/ซี หรือโชคร้ายสุด คือไวรัสเอชไอวี ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายขาด. นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV human Pailloma virus) ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่/มะเร็งองคชาติในเพศชายอีกด้วย เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล ขอแนะนำบทความดีๆจากกองบรรณาธิการของเราที่ http://haamor.com/th/การคุมกำเนิดฉุกเฉิน/ |
Teay*****0 |
28 พฤษภาคม 2558 17:50:29 #3
ขอบคุณคุณหมอมากครับต่อไปผมจะสวมถุงยางอนามัยแทนวิธีกินยาคุมตามคำที่หมอกล่าวมานะครับ
|
Teay*****0