กระดานสุขภาพ

กินยาคุมเม็ดที่ 2 ช้าไป 5-6 ชม. จะท้องมั้ยค่ะ
Suwa*****a

4 มีนาคม 2558 22:39:04 #1

คือเมื่อวันที่ 4 หนูมีอะไรกับแฟนตอนประมาณ 13 .00 น.แต่ถุงยางอนามัยแตก แฟนเลยซื้อยาคุมฉุกเฉินให้กิน หนูกินเม็ดแรกตอน 13.24 น.เม็ดที่ 2 ตอนตี 4 แบบนี้จะท้องมั้ยค่ะ

อายุ: 18 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 40 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.78 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

8 มีนาคม 2558 14:40:54 #2

เรียน คุณ Suwanna,

ก่อนตอบคำถามของคุณ ขออนุญาตแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ว่าทางการแพทย์ใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่อถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยแตก ฉีกขาด จากการใช้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากตัวยามีปริมาณฮอร์โมนค่อนข้างสูงมากเทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ (1500 ไมโครกรัมเทียบกับ 50-75 ไมโครกรัม) และมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ คือ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ (ถ้ารับประทานยาได้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ)

กลไกการออกฤทธิ์ คือ

  1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียวขึ้น เพื่อลดโอกาสที่ตัวอสุจิจะผ่านเข้าไปพบกับไข่
  2. ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง เพื่อลดโอกาสที่ไข่จะมาพบกับตัวอสุจิ
  3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีสภาพไม่เหมาะสม ที่ตัวอ่อน(หากมีการผสมของไข่กับอสุจิ) จะมาฝังตัวและเจริญต่อไปได้

วิธีการรับประทานยาอย่างถูกต้อง มี 2 วิธี แต่ต้องรับประทานยาภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์

  1. รับประทานยา 1 เม็ดทันที จากนั้นอีก 12 ชั่วโมง รับประทานยาอีก 1 เม็ด วิธีนี้มีข้อดี คือ ไม่ค่อยทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แต่ข้อเสียคือมักลืมรับประทานยา
  2. รับประทานยาพร้อมกัน 2 เม็ดทันที วิธีนี้มีข้อดี คือ ไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมรับประทานยา แต่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนค่อนข้างมาก อาจต้องรับประทานยาป้องกันคลื่นไส้ อาเจียนล่วงหน้า 30 นาที เพื่อกันการอาเจียนยาออกมา

ข้อจำกัดของการใช้ยา

ห้ามรับประทานยาเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก จนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตจากการตกเลือดภายในช่องท้องได้ (จากกลไกข้อ 2 ที่ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง อาจเกิดการฝังตัวบริเวณท่อนำไข่แทน) แต่จากข้อมูลการศึกษาวิจัย พบว่าสตรีที่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน "มากกว่า 3 ครั้ง ตลอดชีวิต" มีอัตราเสี่ยงสูงมากในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มดลูก/รังไข่ หรือมะเร็งตับ เป็นต้น เมื่อเทียบกับสตรีที่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดปกติ

จากข้อมูลวิธีการรับประทานยาที่ให้ไป หากโดยรวมแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ อัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์น่าจะใกล้เคียงกันกับการรับประทานยาแบบที่ 2 คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพร่างกายว่าอยู่ในช่วงไข่ตกหรือไม่ ปริมาณตัวอสุจิที่หลุดรอดเข้าไป ฯ

ขอแนะนำเพิ่มเติม หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัย โดยควรให้แฟนของคุณเลือกใช้ขนาดที่ถูกต้อง (49-52 มิลลิเมตร) ใช้น้ำยาหล่อลื่นชนิดน้ำเท่านั้น เนื่องจากครีมหรือโลชั่นจะทำให้ฉีกขาดง่าย การสวมใส่ต้องบีบช่วงปลายกระเปาะเก็บอสุจิ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอากาศอยู่ มิฉะนั้นจะทำให้อากาศดันให้ป่องและแตกฉีกขาดง่ายเมื่อเกิดการเสียดสี หรือสอบถามรายละเอียดจากคลินิกใกล้บ้าน หรือลองค้นหาใน Youtube ได้นะครับ จะมีการสอนวิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากถุงยางอนามัยจะช่วยการคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบ บี/ซี
หรือโชคร้ายสุดคือ เอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายขาด และสุดท้ายยังป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - Human Papilloma Virus) ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือหูดหงอนไก่/มะเร็งองคชาติในเพศชายอีกด้วย

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล