เรียน คุณ d76df,

ขอชี้แจงว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินนั้น ทางการแพทย์ใช้สำหรับกรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เช่น เมื่อถูกข่มขืน หรือเมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึม ไม่แนะนำให้ใช้แทนวิธีการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนสูงมาก คือ 1500 ไมโครกรัม เมือ่เทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ 50-75 ไมโครกรัม และมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์สูง 8-15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับชนิดปกติ น้อยกว่า 1 %

กลไกการออกฤทธิ์ของยา ประกอบด้วยหลักๆ 3 ส่วน คือ

1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น จนอสุจิผ่านไปได้ยาก
2. ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวน้อยหรือช้าลง จนไข่ผ่านมาพบกับอสุจิได้ยากขึ้น
3. ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาหรือบางลง จนไม่เหมาะสมที่ตัวอ่อนจะมาฝังตัวได้

จากข้อมูลของบริษัทยา ไม่ควรรับประทานยา เกิน 2 กล่อง ต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดตั้งครรภ์นอกมดลูก จนอาจเกิดการเสียชีวิตเหตุตกเลือดในช่องท้องได้ แต่จากข้อมูลการศึกษาวิจัยย้อนหลัง พบว่าสตรีที่ได้รับประทานยา "มากเกินกว่า 3 กล่อง ตลอดชีวิต " จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆสูงหลายเท่าเมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิด หรือได้รับยาคุมกำเนิดปกติ เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ หรือมะเร็งตับ ฯ
ดังนั้นหากคุณต้องการคุมกำเนิด แนะนำให้ใช้วิธีการสวมถุงยางอนามัย ที่ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย หรือหากแต่งงานแล้ว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกยาคุมกำเนิดปกติที่เหมาะสมกับรูปแบบการมีประจำเดือนหรือสุขภาพร่างกายของคุณ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

การคุมกำเนิด (Contraception) โดยแพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา (สูตินรีแพทย์)