กระดานสุขภาพ
ทานยาคุมฉุกเฉิน 2 กล่องต่อเดือน | |
---|---|
25 พฤศจิกายน 2557 13:39:59 #1 สวัสดีคะ คือเดือนนี้หนูทานยาคุมฉุกเฉิน 2 ครั้งแล้วคะ ครั้งแรกวันที่ 8 พ.ย และรอบเดือนก็มาวันที่ 15 พ.ย ซึ่งครบหนึ่งสัปดาห์พอดี แต่มีเพศสัมพันธ์กับแฟนวันที่ 22 พ.ย ซึ่งก็ครบหลัง7เหมือนกันคะ แต่เเฟนหลั่งใน เลยกินฉุกเฉินไป มันจะมีผลกระทบต่อรอบเดือนนี้มั้ยคะ แล้วถ้าผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ รอบเดือนยังไม่มา จะทำไงคะ ท้องหรือเปล่า? |
|
อายุ: 19 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 51 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.07 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Haamor Admin(Admin) |
26 พฤศจิกายน 2557 16:57:14 #2 ถึง คุณ 86d41 เนื่องจากเว็บไซต์เป็นที่สาธารณะ ดังนั้นเพื่อให้ข้อมูลเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากที่สุด ทางทีมงานจึงทำการซ่อนชื่อจริงของผู้ถามให้นะคะ โดยคุณ 86d41 ยังสามารถติดตามคำตอบคุณหมอได้ที่กระทู้นี้ค่ะ และหากครั้งต่อไปคุณ 86d41 ต้องการปกปิดชื่อตนเอง สามารถเลือก "ไม่แสดงภาพและชื่อของผู้โพส" ทางด้านขวาเวลาตั้งกระทู้คำถามใหม่ค่ะ |
Anonymous |
28 พฤศจิกายน 2557 05:14:23 #3 หมอคะ เมื่อวานรอบเดือนมาแล้วคะ แต่มันจะมีผลกระทบกับรอบเดือนหน้าไหม และเลือดที่ออกมาคือรอบเดือนใช่ไหมคะ |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
29 พฤศจิกายน 2557 16:21:49 #4 เรียน คุณ 86d41, จากข้อมูลของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีข้อบ่งใช้ทางการแพทย์ คือ เมื่อถูกข่มขืน หรือเมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึมเท่านั้น ไม่ควรใช้แทนยาคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีปริมาณสูงมากเมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ (1500 ไมโครกรัม เทียบกับ 50-75 ไมโครกรัม ตามลำดับ) และอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ประมาณ 8-15 % วิธีการรับประทานยาที่ถูกต้องคือ ต้องรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงของการมีเพศสัมพันธ์ โดยยิ่งเว้นช่วงเวลานานยิ่งมีโอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าหากล่าช้าเกิน 120 ชั่วโมง จะมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์เท่ากับผู้หญิงที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน - กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์ คือ 1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนี่ยว เพื่อลดโอกาสที่อสุจิจะไปพบกับไข่ 2. ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวน้อยและช้าลง เพื่อลดโอกาสที่ไข่จะมาพบกับอสุจิ 3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อน หากมีการผสมของไข่กับอสุจิ โดยหลังจากรับประทานยา 7-10 วันจะมีเลือดออก เนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอก แต่ไม่ใช่เลือดประจำเดือนตามปกติ หลังจากการรับประทานยา 1 ชุด ก็จะทำให้รอบประจำเดือนมาช้าและคลาดเคลื่อนจากเดิมไปอีก 7-14 วัน ดังนั้นถ้าคุณรับประทานยา 2 ชุดต่อเดือน ประจำเดือนก็อาจมาช้าหรือคลาดเคลื่อนไปมากกว่านั้น ซึ่งจากข้อมูลของบริษัทยา แจ้งว่าไม่ควรรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเกิน 2 ชุดต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก (จากกลไกข้อที่ 2 ทำให้ไข่เดินทางมาช้าลง แต่อาจเกิดการผสมและฝังตัวของตัวอ่อนที่ท่อนำไข่) เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการตกเลือดภายในช่องท้อง เหตุจากท่อนำไข่ฉีกขาด หากเกินกำหนดจากที่แจ้ง คือ 7-14 วัน แนะนำให้ซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์มาเพื่อตรวจเบื้องต้น หรือแนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจดูฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ครับ รวมถึงข้อจำกัดของการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ที่มีข้อมูลการศึกษาย้อนหลังที่พบว่าในผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆ สูงหลายเท่ามากกว่าสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือรับประทานยาคุมกำเนิดปกติ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ หรือมะเร็งตับ เป็นต้น ขอแนะนำเพิ่่มเติม จากช่วงอายุที่คุณแจ้ง หากยังไม่ได้แต่งงาน หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดและยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่นหนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด เริม ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หรือโชคร้ายสุดคือ เอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับซ้ำไปมาระหว่างคุณกับคู่นอน คือ เอชพีวี (HPV - human Papilloma Virus) ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่ / มะเร็งองคชาติในเพศชายได้อีกด้วย จากข้อมูลที่แจ้งคือ เลือดที่เกิดจากการฉีกขาดและหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ไม่ใช่เลือดประจำเดือนตามปกติ ซึ่งอาจมาช้ากว่าปกติ 7-14 วัน ส่วนใหญ่ที่พบคือรอบประจำเดือนจะคลาดเคลื่อนประมาณ 2-3 เดือน อย่าคิดให้ใครกินสไปรท์ โดยไม่ใส่ถุงนะครับ เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเรา |
Anonymous