กระดานสุขภาพ

แผงแรก
Anonymous

21 พฤษภาคม 2557 15:36:27 #1

   สวัสดีค่ะคุณหมอ คือดิฉันเพิ่งลองทานยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ดแผงแรก เริ่มกินเม็ดแรกประมาณวันที่ 22 มีนาก่อนนอนซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการมีประจำเดือน จากนั้นก็กินก่อนนอนทุกวันแต่อาจไม่ตรงเวลา โดยในช่วงที่กินไม่ได้มีอะไรกับแฟนเลยเพราะเราจะเจอกันเดือนละ 1-2 อาทิตย์ พอคืนวันที่ 14 เมษา ประจำเดือนก็มาปกติแต่มาน้อยมาก หลังจากนั้นก็กินยาอีกวันแล้วก็ไม่ได้กินต่อเหลืออยู่ 3 เม็ดหลัง ปกติฉันเป็นคนประจำเดือนมาไม่ตรงอยู่แล้วแต่มารอบละ 5-7 วัน แต่รอบนี้มาแค่ 3-4 วัน

   แต่วันที่ 18 และ 22 เมษา ฉันมีอะไรกับแฟนโดยปล่อยใน โดยวันที่ 22 ฉันทานยาคุมฉุกเฉินตามด้วย และหลังจากนั้นถึงวันที่ 28 เมษา เราก็มีอะไรกันทุกวันแต่ปล่อยนอก โดยวันที่ 28 พอมีอะไรกันเสร็จก็มีเลือดไหลออกมา ตอนแรกคิดว่าเป็นประจำเดือนแต่มาได้แค่ 2 วันก็หมดไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรกับแฟนอีกเลยจนถึงวันนี้เพราะแฟนเดินทางไปทำงาน

   แต่จนถึงวันนี้ประจำเดือนก็ยังไม่มา แต่มีอาการเหมือนประจำเดือนจะมาได้ 2 อาทิตย์แล้ว โดยหน้าอกจะขยาย ตึงๆ เป็นก้อนๆนิดๆ เจ็บๆเวลาไปโดน หัวนมดูบวมๆ มีฤดูขาวตลอด แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนมีมูกใสออกมา 1 วัน ไม่คลื่นไส้ ไม่อาเจียน ไม่ท้องผูก ไม่ปัสสาวะบ่อย แต่รู้สึกแน่นๆ ท้องบ้างเป็นบางวัน น้ำหนักไม่ขึ้น ทำงานหนักๆได้ปกติ ปวดหลัง และในอาทิตย์หลังมีปวดท้องน้อยและคันบริเวณนั้นบ้างนิดหน่อย ไม่ทราบว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ไหมค่ะ และถ้าไม่ทำไมประจำเดือนถึงยังไม่มา ดิฉันต้องปฏิบัติตนอย่างไรบ้างค่ะ

อายุ: 22 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 52 กก. ส่วนสูง: 161ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.06 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

21 พฤษภาคม 2557 17:35:17 #2

เรียน คุณ 45a28,

ก่อนอื่นต้องขอสอบถามความต้องการของคุณในการวางแผนครอบครัว ว่าต้องการคุมกำเนิด หรือต้องการให้ตั้งครรภ์ เนื่องจากส่งผลต่อการวางแผนครอบครัวของคุณต่อไป

- จากที่คุณให้ข้อมูลมา เมื่อเริ่มรับประทานยาเม็ดแรก ซึ่งควรเป็นเม็ดแรกของประจำเดือน อาจช้ากว่านั้นได้ แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5 ของรอบเดือน ซึ่งของคุณไม่เกิน (วันที่ 2 ของประจำเดือน) เมื่อรับประทานยาคุมกำเนิด เม็ดที่เป็นตัวยา จะหมดประมาณวันที่ 11 เมษายน หลังจากนั้น 2-3 วันประจำเดือนก็จะมา เม็ดยาที่คุณไม่ได้รับประทานต่อจะเป็นเม็ดแป้งหรือวิตามินบำรุงเลือดเท่านั้น ไม่มีผลต่อการคุมกำเนิด มีไว้เพื่อช่วยเตือนความจำให้รับประทานยาทุกวัน ซึ่งประจำเดือนคุณมาวันที่ 14 เมษายน รอบเดือนก่อนหน้าไม่มีปัญหาในการคุมกำเนิดครับ

- การมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 18 เมษายน ยังอยู่ในช่วงปลอดภัย คือไม่เกิน 7 วัน ของการมีประจำเดือน แต่ในวันที่ 22 เมษายน จะตกอยู่ในช่วงที่ไข่มีการเจริญเติบโตแล้ว เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้
แต่คุณรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หากมั่นใจว่ารับประทานยาได้อย่างถูกต้อง โอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์จะค่อนข้างน้อย (น้อยกว่า 1%) ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในทางการแพทย์มีข้อบ่งใช้ 2 ประเภทเท่านั้น คือ เมื่อถุงยางอนามัยรั่วหรือฉีกขาด หรือเมื่อถูกข่มขืนกระทำชำเรา และไม่ต้องการให้มีการตั้งครรภ์

เนื่องจากตัวยาประกอบด้วย levonorgestrel ซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสตินขนาดสูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไปมาก เม็ดละ 750 ไมโครกรัม เมื่อรับประทาน 2 เม็ด ต่อกล่อง คุณจะได้รับ 1500 ไมโครกรัม ในขณะที่ยาคุมกำเนิดปกติ จะมีฮอร์โมนนี้ประมาณ 50-75 ไมโครกรัม เท่านั้น ต่างกันหลายสิบเท่ามาก

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ จะออกฤทธิ์ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิผ่านเข้าไปได้ง่าย และทำให้ท่อนำไข่มีการบีบตัวช้าลง เพื่อให้ไข่เดินทางมาถึงมดลูกช้าลง ลดโอกาสในการที่ไข่จะผสมกับตัวอสุจิ นอกจากนั้นยังทำให้เยื่อบุผนังมดลูกหนาตัวผิดปกติ จนไม่เหมาะสมกับการฝังของตัวอ่อน หากมีการผสมของไข่กับอสุจิ

จากข้อมูลการออกฤทธฺิ์ของยา จะเห็นได้ว่าฮอร์โมนขนาดสูง จะทำให้ฮอร์โมนเพศในร่างกายมีความแปรปรวนไป เยื่อบุมดลูกที่หนาตัว จะฉีกขาดยาก และยับยั้งไม่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทำงาน จึงไม่มีการบีบตัวของมดลูก สองกลไกนี้จะยิ่งทำให้ประจำเดือนมาล่าช้า หรือไม่มาตามปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นปกติ หลังจาก 2-3 รอบเดือน

หากต้องการทดสอบ แนะนำให้ซื้อชุดตรวจสอบการตั้งครรภ์มาใช้ตรวจ หากขึ้นขีด T (Test - ตรวจสอบ) สีเข้มเท่ากับ C (Control - ควบคุม ว่าชุดตรวจนี้ใช้ได้) ถ้าขึ้นสองขีดก็แสดงว่าตั้งครรภ์ แต่ถ้าขึ้นขีด C ขีดเดียว ผลจะเป็นลบ แสดงว่าไม่ตั้งครรภ์ ทั้งนี้ต้องใช้อย่างถูกต้อง ไม่ทิ้งเวลานานเกินกว่า 5 นาที เนื่องจากเมื่อสัมผัสกับอากาศหรือความร้อน อาจส่งผลต่อผลการตรวจได้

กรุณาศึกษาทำความเข้าใจก่อนเริ่มใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ หรือหากไม่มั่นใจในวิธีการใช้ แนะนำให้ปรึกษาคลินิกหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อตรวจเลือด จะได้ผลที่แน่นอนกว่า

ขอแนะนำเพิ่มเติม ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยไม่มีความจำเป็น ดังที่กล่าวข้างต้น หากต้องการคุมกำเนิด แนะนำให้ใช้วิธีรับประทานยาคุมกำเนิดปกติ หรือการสวมถุงยางอนามัย จะปลอดภัยกับตัวคุณมากกว่า เนื่องจากการศึกษาวิจัย ว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มากกว่า 2 กล่องต่อเดือน มักจะมีประจำเดือนมาน้อย หรือไม่มาเลย และยิ่งกว่านั้นคืออาจตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ (จากการที่ท่อรังไข่บีบตัวช้า) ข้อมูลระยะหลังยังพบว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากกว่า 3 ชุด "ตลอดชีวิต" มีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะสืบพันธุ์ เต้านม รังไข่ ปากมดลูก รวมถึงมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆมากกว่าหลายเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีที่ไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิด หรือ ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆเพื่อศึกษาก่อนคัดเลือกวิธีใช้ยาที่เหมาะสมกับคุณ

การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา

Anonymous

23 พฤษภาคม 2557 14:34:20 #3

ขอบคุณมากค่ะ จะไม่กินยาโดยไม่ศึกษาก่อนอีกแล้วค่ะ T T