กระดานสุขภาพ

ถ่ายเยอะ
Anonymous

30 สิงหาคม 2563 03:05:02 #1

คุณแม่ถ่าย1-3ครั้งต่อวันมาเป็นเวลาหลายเดือนผิดปกติหรืออันตรายไหมครับ โรคประจำตัวมีข้อเข่าเสื่อม รองช้ำ 

อายุ: 60 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 55 กก. ส่วนสูง: 145ซม. ดัชนีมวลกาย : 26.16 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

1 กันยายน 2563 00:30:41 #2

  • ท้องเสีย (Diarrhea) หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน โดยอาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือด ซึ่งเรียกได้อีกชื่อว่า โรคบิดหรือเป็นบิด และเมื่อท้องเสียหายได้ภายใน 2 สัปดาห์เรียกว่า ท้องเสียเฉียบพลัน เมื่อท้องเสียนาน 2 - 4 สัปดาห์เรียกว่า ท้องเสียต่อเนื่อง (Persistent diarrhea) และเมื่อท้องเสียนานมากกว่า 4 สัปดาห์ขึ้นไปเรียกว่า ท้องเสียเรื้อรัง
  • ท้องเสียโดยทั่วไปมักเกิดจากการกินอาหารและดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรคหรือจากรักษามือไม่สะอาด อุจจาระที่ปนเปื้อนจากมือจึงก่อให้เกิดการติดเชื้อได้จากมือสู่ปากโดยตรง หรือในการปรุงอาหารในการสัมผัสอาหาร/น้ำดื่มในขั้นตอนต่างๆ และรวมทั้งในขั้นตอนของการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปท้องเสียจากการติดเชื้อมักเป็นท้องเสียเฉียบพลัน
  • อาการสำคัญจากท้องเสียคือ การถ่ายอุจจาระตั้งแต่วันละ 3 ครั้ง ส่วนอาการอื่นๆที่อาจพบร่วมด้วยเช่น ปวดท้อง ปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง อ่อนเพลีย นอกจากนั้นขึ้นกับสาเหตุเช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตัว เมื่อเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เมื่อเกิดจากติดเชื้อบิด
  • ทั้งนี้อาการสำคัญที่สุดและอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้รวดเร็วคือ อาการจากร่างกายขาดน้ำ (ภาวะขาดน้ำ) และสูญเสียเกลือแร่ที่ออกร่วมมาในอุจจาระ
  • อาการสำคัญของการขาดน้ำในผู้ใหญ่ที่สำคัญคือ
  • • กระหายน้ำมาก
  • • ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะมีสีเหลืองเข็มจัด
  • • ปากแห้ง ลิ้นแห้ง ผิวแห้ง เมื่อเป็นมากตาจะลึกโหล เพราะเนื้อเยื่อรอบๆตาขาดน้ำไปด้วย
  • • เมื่อขาดน้ำมากรุนแรงจะวิงเวียน มึนงง กระสับกระส่าย และช็อกในที่สุด
  • อนึ่ง อาการขาดน้ำในเด็กส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับในผู้ใหญ่ ยกเว้นในเด็กอ่อนซึ่งมักไม่มีปัสสาวะเลย กระหม่อมจะบุ๋มลึก และไม่มีน้ำตาเมื่อร้องโยเยหรือร้องไห้
  • แนวทาางการรักษาท้องเสียคือ การรักษาและป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งเมื่อผู้ป่วยดื่มไม่ได้ หรือท้องเสียรุนแรง อาจเป็นการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ แต่ถ้ายังกิน/ดื่มได้ การรักษา คือ การดื่มน้ำหรือดื่มน้ำเกลือแร่ซึ่งเป็นยาผงละลายน้ำที่ทั่วไปเรียกว่า ยาโออาร์เอส (ORS, Oral rehydration salts) นอกจากนั้นคือ การรักษาตามสาเหตุเช่น อาจให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ยาบรรเทาปวดท้อง หรือยาลดไข้
  • โดยทั่วไป แพทย์มักไม่แนะนำการกินยาหยุดท้องเสีย เพราะการถ่ายอุจจาระเป็นวิธีหนึ่งที่ร่างกายใช้กำจัดเชื้อโรคและ/หรือสารพิษจากเชื้อโรคออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์
  • การดูแลตนเอง/การพบแพทย์เมื่อท้องเสียคือ
  • • พักผ่อน หยุดงาน หรือหยุดเรียน
  • • ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำผงเกลือแร่ เมื่อถ่ายเป็นน้ำหรือรู้สึกปากแห้ง
  • • กินอาหารอ่อน อาหารเหลว หรืออาหารรสจืด
  • • ยังไม่ควรกินยาหยุดท้องเสียด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว อาจกินยาลดไข้ บรรเทาอาการปวดท้อง
  • • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  • • ควรรีบพบแพทย์เมื่อ
  • • มีอาการร่างกายขาดน้ำดังกล่าว
  • • อาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 - 2 วัน (ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ควรพบแพทย์เมื่ออาการท้องเสียไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน)
  • • ปวดท้องมาก และ/หรือ คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ ตัว/ตาเหลือง
  • • มีไข้สูง
  • • อุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด หรือมีสีดำและเหนียวเหมือนยางมะตอย (อาการของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร