กระดานสุขภาพ

ท้องผูกสลับท้องเสีย
Anonymous

10 มกราคม 2563 00:11:43 #1

ประวัติคือ ช่วงม.ต้นผมชอบกินคอหมู่ย่างและกินเป็นประจำแต่ช่วงหลังพยามหลีกเลี่ยงเนื่องจากทราบว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ตั้งแต่เด็กกินอาหารแต่พวกทอด เนื้อสัตว์ ผักแทบไม่ค่อยได้กินชอบอาหารที่ค่อนข้างมีรส มีความกังวลในเรื่องสุขภาพเกี่ยวกับระบบขับถ่าย เนื่องจากมีอาการถ่ายเป็นมูกบางครั้งเป็นๆหายๆ บางครั้งถ่ายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทางดำแต่ไม่ถึงกับดำ ในอดีตมักมักอาการถ่ายแบบท้องผูกสลับท้้องเสียคือจะไม่ค่อยถ่ายหลายวันถึงจะปวดทีและวันที่มีอาการท้องเสียคือมักจะมีอาการปวดท้องแล้วแก้ด้วยการพยามถ่ายในรอบแรกๆบางครั้งจะถ่านออกยากแต่เพิ่มถ่ายก็จะถ่ายประมาณ3-6ครั้งในวันที่ท้องเสียทุกครั้งที่ท้องเสียสังเกตุได้ว่าถ้าถ่ายครั้งแรกๆจะเป็นก้อนหรือของแข็งพอถึงครั้งที่3-5จะเริ่มเหลวและเมื่อจะสิ้นสุดอาการท้องเสียคือจะถ่านเหลวมากขึ้นและมีีน้ำปนหรือเนื้อออุจาระเหลวและยุ่ยมากขึ้นจนพอหายจากการท้องเสียคือจะถ่ายจนรู้สึกสุด หมด ท้องโล่งแล้วจะหายปวดท้องไปด้วย ในตอนเด็กเคยหาหมอเนื่องจากมีปัญหาโรคลำไส้อักเสบ(ไม่แน่ใจว่าลำไส้อักเสบหรือแปรปรวน) ตอนช่วงประถมเคยกินน้ำอัดลมมากจนปวดท้องจนต้องเลิกกินน้ำอัดลม ต่อมามีช่วงที่ถ่ายเป็นเม็ดก้อนกรวดถ่ายน้อยมากในบางครั้ง แต่ในหลายรรั้งค่อนข้างน้อยแต่บ่อยครั้ั้งมักจะมีมูกปนและยังท้องผูกสลับท้องเสีย ปัจจุบันมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียเหมือนเดิมแต่แปลกตรงที่ตอนวันที่ท้องเสียบางครั้งถ่ายรอบแรกมีก้อนแข็งออกมาและเหลวผสมมาด้วยเลยโดยเหลวตามมาติดๆในตอนเด็กเคยเล่นน้ำเจ้าพระยาที่ท่วมแล้วเคยกินน้ำเข้าไปตอนนั้นปวดท้องท้องเสียเป็นน้ำ
อายุ: 23 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 166ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.14 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

10 มกราคม 2563 00:14:37 #2

ผมจะเป็นอะไรไหมครับ
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

12 มกราคม 2563 19:06:31 #3

ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการ ไม่ใช่โรค ได้แก่ อาการไม่ถ่ายอุจจาระตามปกติซึ่งโดยคำนิยามทางการแพทย์ ท้องผูก หมายถึงความผิดปกติทั้งจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระซึ่งต้องน้อยกว่า3 ครั้งต่อสัปดาห์ลักษณะของอุจจาระต้องแห้งแข็งการขับถ่ายต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วงและภายหลังอุจจาระแล้วยังมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด

ท้องผูกเกิดได้จากหลายสาเหตุที่พบบ่อยคือ

• เกิดจากลำไส้เคลื่อนตัวช้ากว่าปกติหรือบีบตัวลดลงทั้งนี้เพราะขาดตัวกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้จากมีลำอุจจาระเล็กเช่นจากกินอาหารที่ขาดใยอาหาร และ/หรือดื่มน้ำน้อยอุจจาระจึงแข็งและลำอุจจาระเล็ก ลำไส้จึงบีบตัวลดลงอุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้า

• จากขาดการเคลื่อนไหวร่างกายจึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเคลื่อนตัวช้า

• จากปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เช่น ความเครียด ความกังวล หรือการไม่มีเวลาพอในการขับถ่ายจึงส่งผลถึงการทำงานของลำไส้ลดการบีบตัวลง

สาเหตุที่พบได้แต่น้อยคือ

• มีโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของกล้ามเนื้อลำไส้และ/หรือประสาทลำไส้ จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวลดลงกากอาหาร/อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้าลงเช่นผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆเช่น เบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำและไตวาย

• มีโรคของระบบประสาท จึงส่งผลถึงการทำงานเคลื่อนไหวบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ลดลงเช่น โรคหลอดเลือดสมองโรคเนื้องอก/มะเร็งของสมอง หรือของไขสันหลัง

• โรคของกล้ามเนื้อเองจึงส่งผลให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัวลดลงเช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)

• กินยาบางชนิดที่ลดการบีบตัวของลำไส้ เช่น ยาคลายเครียดบางชนิดยาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิดหรือยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ

• โรคของลำไส้เองก่อให้เกิดการอุดกั้นลำไส้ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

แนวทางการรักษาอาการท้องผูกที่สำคัญคือการเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเคลื่อนที่ได้ง่ายซึ่งคือการกินอาหารมีใยอาหารสูง(ผักผลไม้ธัญพืชถั่วต่างๆ) และดื่มน้ำสะอาดวันละมากๆเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม(เช่น โรคหัวใจล้มเหลว) อย่างน้อยวันละ8 - 10 แก้วและเคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอ

ถ้าอาการท้องผูกยังคงมีอยู่ไม่ดีขึ้นหลังปรับเปลี่ยนอาหารดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายอาจใช้ยาแก้ท้องผูกโดยปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอถ้าซื้อยากินเอง

เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกนานเกิน5 - 7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพราะการใช้ยาแก้ท้องผูกบ่อยๆจะยิ่งกลับมาท้องผูกมากขึ้นและต้องเพิ่มปริมาณใช้ยามากขึ้นจนอาจก่ออันตรายได้เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง ปวดท้อง

นอกจากนั้นคือการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุเช่นรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อเป็นสาเหตุของท้องผูก เป็นต้น

โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากอาการท้องผูก นอกจากความไม่สุขสบายนอกจากนั้นคือเกิดโรคริดสีดวงทวารจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำและ/หรืออาจเกิดแผลแตกรอบๆทวารหนัก (แผลรอยแยกขอบทวารหนัก) จากก้อนอุจจาระที่แข็งกดครูด

แต่ในบางครั้งเมื่อท้องผูกเรื้อรังมากจนก้อนอุจจาระแข็งมากอาจก่ออาการลำไส้อุดตันได้(ปวดท้องมากรุนแรง อาเจียนมากไม่ผายลม) ซึ่งเป็นอาการที่ควรต้องพบแพทย์ฉุกเฉิน

โดยทั่วไปอาการท้องผูกไม่รุนแรงเมื่อปรับพฤติกรรมการกิน/ดื่มน้ำและเคลื่อนไหวออกกำลังกายเพิ่มขึ้น อาการท้องผูกจะหายไปเองแต่ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุด้วยดังนั้นเมื่อเกิดอาการท้องผูกโดยไม่เคยเป็นมาก่อนและอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน1 - 2 สัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุแต่เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ภายใน5 - 7 วันหลังใช้ยาเพื่อหาสาเหตุและเพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยาแก้ท้องผูกถ้าใช้ยานานกว่านี้ดังกล่าวแล้ว

การดูแลตนเองเมื่อท้องผูก เช่นเดียวกับการป้องกันท้องผูกคือ

• กินอาหารมีใยอาหารสูงในทุกมื้ออาหาร

• ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ6 - 8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม

• เคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอไม่นั่งๆนอนๆ

• ผ่อนคลายอารมณ์ลดความเครียด ลดความกังวล

• ฝึกขับถ่ายเป็นเวลาควรเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และมีเวลาให้ในการขับถ่ายไม่รีบเร่ง

• ไม่กลั้นอุจจาระจนเป็นนิสัยเมื่อปวดถ่ายควรรีบเข้าห้องน้ำเสมอ

• ควรปรึกษาแพทย์เรื่องท้องผูกโดยไม่ควรใช้ยาแก้ท้องผูกเองแต่ถ้าจะใช้ยาแก้ท้องผูกเองควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา

• ควรพบแพทย์เมื่อ

◦ ดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วยังท้องผูก

◦ ใช้ยาแก้ท้องผูก ประมาณ5 - 7 วันแล้วท้องผูกยังไม่ดีขึ้น

◦ ท้องผูกเกิดโดยไม่เคยมีอาการมาก่อน

◦ มีอาการท้องผูกเรื้อรังนานเกิน1 สัปดาห์

◦ ท้องผูกสลับท้องเสียโดยไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

◦ อุจจาระมีลักษณะเล็กแบนเหมือนริบบิ้นเพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่าอาจมีลำไส้ใหญ่ตีบซึ่งอาจจากมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่

◦ มีเลือดออกหลังอุจจาระบ่อยเพราะอาจเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวาร หรือมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่

◦ กังวลในอาการ

• ควรรีบพบแพทย์หรือพบแพทย์เป็นการฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อท้องผูกร่วมกับ

◦ ปวดเบ่งมากเมื่อถ่าย

◦ ปวดท้องมากและ/หรือคลื่นไส้ อาเจียน เพราะอาจเป็นอาการของ ลำไส้อุดตัน

◦ อุจจาระเป็นเลือด