กระดานสุขภาพ

ปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีเลือดปน
Etc1*****4

1 กรกฎาคม 2562 11:16:46 #1

สวัสดีครับ วันนี้ตอนเช้าผมอั้นปัสสาวะเพราะรถติดมาก พอได้ปัสสาวะครั้งแรกก็ยังปกติ แต่พอปัสสาวะครั้งต่อมารู้สึกแสบๆขัดๆ และรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยมาก จนเมื่อตอนเย็นพบว่าปัสสาวะมีเลือดปน รู้สึกแสบและขัด และเมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วก็รู้สึกปวดปัสสาวะต่อทันที

อายุ: 22 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 60 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.76 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

4 กรกฎาคม 2562 15:35:11 #2


การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ(Urinary tract infection) หรือเรียกย่อว่ายูทีไอ(UTI) คือโรคหรือภาวะที่เกิดจากอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียแต่ทั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากเชื้อโรคทุกชนิดเช่นเชื้อราและเชื้อไวรัสแต่พบได้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเขื้อจากแบคทีเรียดังนั้นในบทนี้จึงจะกล่าวถึงเฉพาะการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น

การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นโรค/ภาวะที่พบได้บ่อยมากพบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็ก(พบได้ประมาณ10% ของโรค/ภาวะนี้) ไปจนถึงผู้สูงอายุโดยทั่วไปมักพบในช่วงอายุ16-35 ปีเป็นโรคพบในผู้หญิงบ่อยกว่าในผู้ชายประมาณ4 เท่าโดยประมาณ60%ของผู้หญิงต้องเคยเกิดโรค/ภาวะนี้อย่างน้อย1 ครั้งในชีวิตเป็นโรค/ภาวะที่เกิดซ้ำได้บ่อยโดยพบว่าประมาณ50% เมื่อเกิดโรคแล้วจะเกิดโรคซ้ำภายใน1 ปี

การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมักเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่างซึ่งเรียกว่าการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่าง(Lower Urinary tract infection หรือLower UTI) คือโรค/ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ(Cystitis) และโรค/ภาวะท่อปัสสาวะอักเสบ(Urethri tis) มากกว่าประมาณ20-30 เท่าของการเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนบนซึ่งเรียกว่าการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบน(Upper Urinary tract infection หรือUpper UTI) ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อของกรวยไต(โรคกรวยไตอักเสบ)

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะคือ

• ผู้หญิงเนื่องจาก

◦ ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชายมากเชื้อโรคบริเวณปากท่อปัสสาวะจึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า

◦ ปากท่อปัสสาวะของผู้หญิงเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณใกล้กับช่องคลอดและทวารหนักจึงมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งจากช่องคลอดและจากทวารหนัก

◦ ผู้หญิงช่วงมีประจำเดือนบริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจะปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศจะส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศรวมทั้งปากท่อปัสสาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

◦ มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในช่วงตั้งครรภ์และช่วงวัยหมดประจำเดือนซึ่งจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายในบริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวแบคทีเรียประจำถิ่น(Normal flora) ที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น

◦ ภาวะตั้งครรภ์ซึ่งตัวครรภ์จะก่อการกดเบียดทับอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะโดยเฉพาะกระเพาะปัสสาวะจึงก่อให้เกิดทางเดินปัสสาวะอุดกั้นได้ง่ายปัสสาวะจึงแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะเชื้อโรคจึงเจริญได้ดีจึงเพิ่มเชื้อโรคในปัสสาวะก่อให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่ายขึ้น

• อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงและชายหรือมีเพศสัมพันธ์บ่อยจึงมีโอกาสติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้สูงกว่าโดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนหลายคนหรือในช่วงเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอนหรือเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศซึ่งรวมถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บจากเพศสัมพันธ์จึงส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย

• ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิเพราะยาจะก่อการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อของช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจึงเกิดช่องคลอดอักเสบและทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย

• ผู้หญิงที่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใส่ฝาครอบปากมดลูก(Diaphragm) จะติดเชื้อในช่องคลอดและในทางเดินปัสสาวะได้ง่ายจากความไม่สะอาดของมือ(จากการล้วงเข้าไปในช่องคลอด) และของแผ่นครอบไม่เพียงพอ

• ใช้เจลหล่อลื่นและ/หรือถุงยางอนามัยที่ไม่สะอาด

• มีทางเดินปัสสาวะอุดกั้นเช่นนิ่วในไตนิ่วในท่อไตและ/หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเพราะส่งผลให้น้ำปัสสาวะแช่ค้างในทางเดินปัสสาวะแบคทีเรียจึงเจริญเติบโตได้ดีในน้ำปัสสาวะจึงก่อการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย

• โรคต่อมลูกหมากโต(ในผู้ชาย) เพราะก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ

• โรคต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อจึงส่งผลให้ลุกลามเกิดการติดเชื้อของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะเพราะต่อมลูกหมากจะสัมผัสอยู่กับท่อปัสสาวะ

• การนั่งนานๆเช่นเมื่อรถติดมากการกลั้นปัสสาวะนานๆเพราะส่งผลให้เกิดการแช่คั่งของปัสสาวะเชื้อโรคในปัสสาวะจึงเจริญได้ดี

• มีโรคที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำร่างกายจึงติดเชื้อได้ง่ายเช่นโรคเบาหวาน

• โรคอัมพฤกษ์อัมพาตเพราะจะมีปัญหาในการถ่ายปัสสาวะมักเกิดการแช่ค้างของปัสสาวะแบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี

• โรค/ภาวะที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือปัสสาวะแต่ละครั้งไม่หมดจึงมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะเสมอแบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดีเช่นในผู้สูงอายุในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลายครรภ์และในผู้หญิงที่มีโรคกระบังลมหย่อนหรือในโรคต่อมลูกหมากโต(ในผู้ชาย)

• การใช้สายสวนปัสสาวะเพราะท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะบาดเจ็บจากสายสวนรวมทั้งการติดเชื้อจากตัวสายสวนเองเช่นในผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตและผู้ป่วยผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ

• มีความผิดปกติแต่กำเนิดของทางเดินปัสสาวะที่เป็นสาเหตุให้มีการกักคั่งของน้ำปัสสาวะ(พบได้น้อย)

อาการจากการการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่พบได้บ่อยคือ

◦ ปัสสาวะบ่อยครั้งละน้อยๆปวดแสบเวลาปัสสาวะโดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดปัสสาวะและมักตื่นปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ

◦ อาจกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

◦ ปัสสาวะขุ่นมีกลิ่นแรงหรือเหม็นผิดปกติ

◦ อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด

◦ ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน

• อาการจากติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอื่นๆที่อาจพบได้คือ

◦ อาจมีไข้ต่ำๆ

◦ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว

◦ อ่อนเพลีย

◦ คลื่นไส้อาเจียน

◦ เจ็บบริเวณอวัยวะเพศและ/หรืออุ้งเชิงกรานเมื่อมีเพศสัมพันธ์

◦ มีหนองหรือสารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศปากช่องคลอดและ/หรือปากท่อปัสสาวะ

• อาการจากติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบนที่นอกเหนือจากที่กล่าวแล้วคือ

◦ มีไข้มักเป็นไข้สูงหนาวสั่น

◦ ปวดเอวทั้งสองข้าง

แนวทางการรักษาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะคือการใช้ยาปฏิชีวนะการรักษาสาเหตุและการรักษาประคับประคองตามอาการ

• การใช้ยาปฏิชีวนะโดยชนิดขนาดยา(Dose) และระยะเวลาที่ใช้ยาขึ้นกับความรุนแรงของอาการเชื้อที่เป็นสาเหตุปัจจัยเสี่ยงการเป็นการเกิดโรคครั้งแรกหรือเป็นโรค/ภาวะย้อนกลับเป็นซ้ำและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยและในผู้ป่วยที่เกิดโรคบ่อยอาจมีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อการป้องกันการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์

• การรักษาสาเหตุเช่นการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เมื่อโรคเกิดจากโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์หรือการรักษาโรคนิ่วในไตหรือโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเมื่อโรคเกิดจากโรคนิ่วในไตหรือในกระเพาะปัสสาวะเป็นต้น

• การรักษาประคับประคองตามอาการเช่นให้ยาแก้ปวดยาลดไข้ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนและการดื่มน้ำมากๆมากกว่าปกติเป็นต้น

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อมีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะคือ

• เมื่อมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์เพราะการรักษาจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องทั้งชนิดของยาปริมาณยา(Dose) และระยะเวลาที่ได้รับยาเพื่อลดโอกาสเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำจากการรักษาที่ไม่เหมาะสมและเชื้อดื้อยาดังนั้นจึงเป็นโรคที่ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตนเองให้โรคหายได้

• เมื่อพบแพทย์แล้วควรปฏิบัติตามแพทย์พยาบาลแนะนำ

• กินยาต่างๆให้ครบถ้วนถูกต้องไม่หยุดยาเองถึงแม้อาการจะดีขึ้น/หายแล้วก็ตาม

• ดื่มน้ำสะอาดให้มากกว่าเดิมอย่างน้อยวันละ8-10แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม

• ไม่กลั้นปัสสาวะนาน

• พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอไม่นั่งนานๆเช่นเมื่อรถติดมาก

• งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าโรคจะหายแล้ว

• สวมใส่กางเกงในเป็นผ้าฝ้าย100% ไม่รัดแน่นเกินไปเพื่อลดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศและปากท่อปัสสาวะและเพิ่มการระบายอากาศไม่ให้บริเวณนั้นอับชื้น

• ในผู้หญิงควรล้างบริเวณอวัยวะเพศและปากท่อปัสสาวะจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอเพื่อลดการปนเปื้อนแบคทีเรียจากปากทวารหนัก

• ลองปรับเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิด(ในผู้หญิง) หรือเจลหล่อลื่นเมื่อเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยหาสาเหตุอื่นไม่ได้

• รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ

• หลังการขับถ่ายควรล้างด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้งเสมออาจใช้กระดาษเปียกสำหรับทำความสะอาดของเด็กอ่อนเมื่อไม่สะดวกที่จะล้างทำความสะอาด

• ใช้ทิชชูชนิดอ่อนนุ่มไม่แข็งกระด้างในบริเวณอวัยวะเพศเสมอ

• รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นโรคเบาหวานหรือโรคต่อมลูกหมากโต

การป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สำคัญคือ

• ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม

• เคลื่อนไหวร่างกายเสมอไม่นั่งนานๆเช่นเมื่อรถติดมากไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ

• ใช้ทิชชูที่อ่อนนุ่มในการทำความสะอาดปากท่อปัสสาวะและอวัยวะเพศ

• ไม่ใช้ยาดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ

• หลายการศึกษาพบว่าการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ปัสสาวะก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะลงจึงลดโอกาสเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

• รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง

• ไม่สำส่อนทางเพศรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)

• ในผู้หญิง

◦ ทำความสะอาดอวัยวะเพศและหลังการขับถ่ายจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรียจากปากทวารหนัก

◦ ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ

◦ ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใช้ฝาครอบปากมดลูก