กระดานสุขภาพ
สอบถามครับ | |
---|---|
24 เมษายน 2562 06:47:16 #1 พอดีมีอาการปวดเสียว ที่กลางสันหลังเวลานอน. ทำไห้นอนไม่หลับ. ต้องลุกขึ้นมานั่งให่ง่วงเต็มที่ จึงหลับได้. แต่ก็ทำไห้การนอนไม่สามารถนอนได้เต็มที่. อาการแบบนี้. ผมควรไปหาหมอด้านไหนดีครับ. กลัวว่าเวลาบอกอาการทีาเกิดขึ้นหมอจะไม่เข้าใจ. และวินิฉัยคลาดเคลื่อน. ตอนนี้กังวลมากครับ. |
|
อายุ: 44 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 90 กก. ส่วนสูง: 175ซม. ดัชนีมวลกาย : 29.39 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
พญ.กิติพร กวียานนท์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป |
25 เมษายน 2562 15:21:50 #2 หลังช่วงล่าง(Low back) คือตำแหน่งด้านหลังช่วงจากปลายกระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายลงมาจนถึงตำแหน่งกระดูกใต้กระเบนเหน็บ(Sacrum) ซึ่งเป็นตำแหน่งของกระดูกสันหลัง(Spine) ส่วนเอวข้อที่1 (Lumbar spine เรียกย่อว่าL spine ซึ่งมีทั้งหมด5ข้อ) ไปจนถึงกระดูกใต้กระเบนเหน็บข้อที่1 (Sacrum เรียกย่อว่าS spine ซึ่งมีทั้งหมด5 ข้อ) ทั้งนี้ส่วนหลังช่วงล่างประกอบด้วยเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่สำคัญและเป็นต้นเหตุให้เกิดอาการเจ็บปวดคือกล้ามเนื้อเอ็นกระดูกสันหลังหมอนรองกระดูกสันหลังไขสันหลังและเส้นประสาท สาเหตุของการปวดหลังช่วงล่างได้แก่ • การทำงานมากเกินไปของกล้ามเนื้อหลังกล้ามเนื้อจึงเกิดการบาดเจ็บอักเสบ(โดยไม่มีการติดเชื้อ) ซึ่งพบเป็นสาเหตุได้เท่ากับหรือมากกว่า70% ของการปวดหลังช่วงล่างทั้งหมด • โรค/ภาวะปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเสื่อมพบเป็นสาเหตุประมาณ14% • โรค/ภาวะกระดูกสันหลังยุบตัวจากภาวะ/โรคกระดูกพรุนพบประมาณ4% • กระดูกสันหลังเคลื่อนจากสาเหตุต่างๆเช่นยกของหนักเล่นกีฬาพบประมาณ2% • โรค/ภาวะโพรงกระดูกสันหลังเอวตีบแคบ(Lumbar spinal stenosis) จึงเบียดรัดประสาทสันหลังพบประมาณ3% • กระดูกหรือเนื้อเยื่อหลังช่วงล่างติดเชื้อพบประมาณ0.01% • กระดูกหลังช่วงล่างอักเสบจากโรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองพบประมาณ0.3% • โรคมะเร็งแพร่กระจายสู่กระดูกสันหลังช่วงล่างพบประมาณ0.7% • เป็นอาการปวดสืบเนื่องมาจากเนื้อเยื่อ/อวัยวะในช่องท้องหรือในอุ้งเชิงกรานพบประมาณ2% เช่นจากการอักเสบของต่อมลูกหมากมดลูกโรค/ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่โรคนิ่วในไตโรคนิ่วในท่อไตโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือโรคกรวยไตอักเสบ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลังช่วงล่างคือ • สูงอายุมักอายุตั้งแต่30 ปีขึ้นไป • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเพราะขาดฮอร์โมนเพศที่เป็นตัวเพิ่มการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก • มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ขาดการออกกำลังกายนั่งๆนอนๆ • น้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน • โรคกระดูกพรุนโรคกระดูกบาง • โรคข้อเสื่อม • โรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย(ระยะที่4) • มีอาชีพใช้หลังมากเช่นยกของหนักกีฬาที่ต้องใช้หลัง(เช่นมวยปล้ำ) • สูบบุหรี่เพราะสารพิษในควันบุหรี่ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนและโรคหลอดเลือดแดงแข็งเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆรวมทั้งกระดูกจึงขาดเลือดหล่อเลี้ยง • ปัญหาด้านอารมณ์จิตใจจะส่งผลถึงการทำงานของกล้ามเนื้อรวมทั้งกล้ามเนื้อหลังก่ออาการปวดหลังช่วงล่างเรื้อรังเช่นความเครียดอาการซึมเศร้า • อาจจากพันธุกรรมเพราะพบโรคได้สูงขึ้นในคนที่ครอบครัวมีอาการนี้ • การตั้งครรภ์เพราะน้ำหนักจากครรภ์จะกดทับกระดูกสันหลังก่อให้เกิดการบาดเจ็บของกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนหลังได้นอกจากนั้นอาจจากผลของฮอร์โมนที่เพิ่มผิดปกติจากการตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อต่างๆโดยเฉพาะกล้ามเนื้อและกระดูก อาการที่พบได้จากปวดหลังช่วงล่างคือ • ปวดหลังบนกระดูกสันหลังช่วงล่างและ/หรือปวดทั้งแผ่นหลัง • อาจปวดร้าวลงขาด้านใดด้านหนึ่งมักเกิดเพียงด้านเดียว • เคลื่อนไหวหลังไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวดก้มตัวไม่ได้เพราะเจ็บ • ยืนตรงไม่ได้เพราะเจ็บ/ปวดหลัง อาการปวดหลังช่วงล่างที่ต้องรีบพบแพทย์ภายใน1-2 วันหรือฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการคือมีอาการปวดหลังร่วมกับ • ปวดหลังมากโดยเฉพาะเมื่ออายุตั้งแต่50 ปีขึ้นไป • มีไข้หนาวสั่นหรือมีอาการทางปัสสาวะเช่นปวดเบ่งแสบเมื่อปัสสาวะ • ส่วนหลังได้รับอุบัติเหตุ • ปวดหลังมากช่วงกลางคืนหรือถึงแม้นอนพัก • ปวดบริเวณก้นกบ(กระดูกสันหลังชิ้นที่อยู่ล่างสุดของลำตัว) • ชาบริเวณขาเท้า • กลั้นอุจจาระและ/หรือปัสสาวะไม่อยู่ • เป็นโรคกระดูกพรุนโรคกระดูกบาง • เป็นโรคมะเร็ง • กินยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเพราะผลข้างเคียงของยาตัวนี้คือทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน • ใช้ยาเสพติดเพราะส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆได้ทั่วร่างกายรวมทั้งของกระดูกและข้อ • หลังการดูแลตนเองแล้วอาการปวดหลังไม่ดีขึ้นภายใน6 สัปดาห์ แนวทางการรักษาอาการปวดหลังช่วงล่างคือการรักษาสาเหตุและการรักษาประคับประคองตามอาการ การรักษาสาเหตุเช่นการรักษาโรคกระดูกพรุนการฉายรังสีรักษากรณีเกิดจากการแพร่กระจายของโรคมะเร็งการรักษาทางจิตเวชและบางครั้งเป็นส่วนน้อยอาจใช้การผ่าตัดในกรณีอาการปวดเกิดจากโรคปวดหลังจากหมอนรองกระดูกหรือเกิดจากโรคกระดูกเคลื่อนกดทับประสาทหรือกดทับไขสันหลังเป็นต้นรวมทั้งในกรณีเป็นการปวดหลังซึ่งปวดร้าวมาจากโรคอื่นๆในช่องท้องหรือในอุ้งเชิงกรานการรักษาคือการรักษาสาเหตุของโรคนั้นๆเช่นกันเช่นรักษาโรคนิ่วในไตเป็นต้น การรักษาประคับประคองตามอาการเช่นการพักผ่อนซึ่งไม่ควรเกิน2 วันเพราะยิ่งหยุดการเคลื่อนไหวอาการปวดจะยิ่งเพิ่มขึ้นแพทย์มักแนะนำให้เคลื่อนไหวเท่าที่พอทำได้การกินยาแก้ปวดยาคลายกล้ามเนื้อการประคบร้อนสลับประคบเย็น(บางคนอาการดีขึ้นบางคนไม่ได้ผล) และ/หรือการทำกายภาพบำบัด การดูแลตนเองการพบแพทย์เมื่อมีอาการปวดหลังช่วงล่างคือ • พักการใช้หลังระวังการนั่งยืนเดินนอนการยกของก้มเงย • กินยาแก้ปวด • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่พอจะทำได้เพราะยิ่งไม่เคลื่อนไหวอาการปวดจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น • อาจประคบร้อนประคบเย็นหรือทั้งร้อนและเย็นสลับกันซึ่งจะได้ผลต่างกันในแต่ละคน • การนวดด้วยยาทาภายนอกซึ่งอาจได้ผลในบางคน • การใส่เครื่องพยุงหลังซึ่งได้ผลในบางคน • ลดน้ำหนักเมื่ออ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกิน • เลิกบุหรี่ไม่สูบบุหรี่ • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการปวดหลังเลวลงหรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน6 สัปดาห์ • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน1-2 วันหรือฉุกเฉิน |
Kamp*****r