กระดานสุขภาพ

จะเป็นน้ำท่วมปอดไหมเป็นห่วงแม่
Yama*****a

16 เมษายน 2562 07:42:52 #1

สวัสดี​ค่ะคือว่าเมื่อ2-3เดือนที่แล้วค่ะหมอบอว่าเป็นchfเนื่องจากน้ำท่วมปวดแล้ว​ หมอก้อนัดติดตามอาการค่ะหมอบอกว่าน้ำแห้งแล้ว​หมอให้ยาขับปัสสาวะมาค่ะ​คือเรื่องที่กังวลค่ะ​คือ​แม่น้ำหนักขึ้น2โลครึ่ง​แล้วปัสสาวะบ่อย​กดแล้วบุ๋มค่ะ​สามารถนอนราบได้สักักพอหลังจากนั้นก้อเปลี่ยนเป็นนอนตะแคง อาการน้ำท่วมปอดจะกลับมาไหมค่ะเป็นห่วงแม่จัง
อายุ: 59 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 75 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 33.33 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

16 เมษายน 2562 15:23:42 #2

ปอดบวมน้ำ(Pulmonary edema) คือภาวะผิดปกติที่เกิดจากมีสารน้ำ/ของเหลวจากในหลอดเลือดของปอดไหลซึมออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อปอดก่อให้เกิดมีน้ำคั่งในเนื้อเยื่อปอดโดยเฉพาะในถุงลมจึงส่งผลให้ถุงลมไม่สามารถบรรจุอากาศที่หายใจเข้าไปได้(เพราะมีน้ำมาแทนที่) ปอด/ถุงลมจึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนในอากาศกับคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดปอดได้เซลล์ต่างๆทั่วร่างกายรวมทั้งเซลล์ของปอดหัวใจและหลอดเลือดต่างๆจึงขาดอากาศ/ขาดออกซิเจนส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยหอบและตัวเขียวคล้ำซึ่งถ้าให้การรักษาไม่ทันจะส่งผลให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตในที่สุดได้

ปอดบวมน้ำเป็นภาวะที่พบบ่อยมักเกิดตามหลังภาวะหัวใจล้มเหลวหรือภาวะปอดติดเชื้อรุนแรง(โรคปอดบวม) โดยพบได้ในทั้ง2 เพศและในทุกอายุตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุแต่จะพบได้สูงขึ้นในผู้สูงอายุสาเหตุจากโรคหัวใจ

กลไกการเกิดปอดบวมน้ำเกิดได้2 วิธีหลักคือ

1.จากมีภาวะหัวใจล้มเหลวเรียกว่าCardiogenic pulmonary edema

ปอดบวมน้ำจากภาวะหัวใจล้มเหลวภาวะหัวใจล้มเหลวจะส่งผลให้หัวใจโดยเฉพาะห้องล่างซ้ายไม่สามารถบีบตัวส่งเลือดออกจากหัวใจเข้าท่อเลือดแดงใหญ่เพื่อไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายได้(อ่านเพิ่มเติมในบทความหัวใจ:กายวิภาคหัวใจ) ส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในหัวใจเลือดจากปอดจึงไม่สามารถกลับคืนเข้าสู่หัวใจได้จึงเกิดเลือดคั่งในปอดและมีความดันในหลอดเลือดปอดสูงขึ้นการที่มีความดันในหลอดเลือดปอดสูงขึ้นจะเพิ่มแรงดันให้สารน้ำหรือของเหลวในหลอดเลือดปอดไหลซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อปอดโดยเฉพาะในถุงลมจึงส่งผลให้ถุงลมแลกเปลี่ยนอากาศไม่ได้ร่างกายจึงเกิดภาวะขาดออกซิเจน(Hypoxia) ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายสร้างสารที่กระตุ้นให้หลอดเลือดต่างๆรวมทั้งหลอดเลือดปอดหดตัวความดันในหลอดเลือดต่างๆจึงสูงยิ่งขึ้นรวมทั้งในหลอดเลือดปอดน้ำในหลอดเลือดปอดจึงไหลซึมออกมามากขึ้นเกิดภาวะน้ำท่วมปอดวนเวียนเป็นวงจรไม่รู้จบ

2.จากภาวะผนังหลอดเลือดฝอยของถุงลมเกิดความผิดปกติยอมให้สารน้ำหรือของเหลวในหลอดเลือดซึมผ่านออกจากหลอดเลือด(Increased permeability) เข้าสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงซึ่งคือเนื้อเยื่อปอดโดยเฉพาะเข้าไปในถุงลมเรียกว่าNoncardiogenic pulmonary edema)

ปอดบวมน้ำจากความผิดปกติของผนังหลอดเลือดฝอยของถุงลมโดยผนังหลอดเลือดฝอยที่ในภาวะปกติจะไม่ยอมให้มีของเหลวผ่านออกจากผนังหลอดเลือดเกิดมีความผิดปกติขึ้นจนส่งผลให้ของเหลวในหลอดเลือดฝอย(ส่วนใหญ่จะเป็นโปรตีน) ไหลซึมเข้าไปอยู่ในถุงลมส่งผลให้อากาศไม่สามารถเข้าไปในถุงลมได้ถุงลมจึงไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้จึงเกิดภาวะขาดออกซิเจนของเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย

อาการจากปอดบวมน้ำจากทั้ง2 กลไกและทุกสาเหตุจะมีอาการเหมือนกันโดยอาการที่พบได้บ่อยคือ

อาการหายใจลำบาก/เหนื่อยหอบโดยเฉพาะเมื่อต้องออกแรง/ใช้แรง

นอนราบจะหายใจลำบากมากขึ้นต้องนั่งหรือนอนเอนตัว

บวมเท้ามือและ/หรือท้อง(ท้องมาน)

คลื่นไส้อาเจียน

สับสนกระสับกระส่าย

มือเท้าเย็น

ความดันโลหิตต่ำ

ตับโตอาจมีม้ามโตคลำได้(ภาวะปกติจะคลำไม่ได้)

หลอดเลือดดำที่คอโป่งพองมองเห็นได้ชัดเจน

ตรวจฟังเสียงปอดหายใจจะผิดปกติ(Rales)

มีการทำงานของไตผิดปกติร่วมด้วย

อาจมีไข้สูงเมื่อมีการติดเชื้อร่วมด้วย

การรักษาปอดบวมน้ำคือการรักษาสาเหตุและการรักษาประคับประคองตามอาการ

การรักษาสาเหตุเช่นการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเกิดจากภาวะปอดติดเชื้อเป็นต้นทั้งนี้รวมถึงการให้ยาขยายหลอดลมการสูดดมออกซิเจนด้วยการควบคุมแรงดันของออกซิเจนและการให้ยากระตุ้นการเต้นของหัวใจเป็นต้น

การรักษาประคับประคองตามอาการเช่นการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อผู้ป่วยกินไม่ได้หรือการให้ยาขับน้ำเมื่อมีอาการบวมเป็นต้น

การดูแลตนเองที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมีอาการดังกล่าวควรรีบไปโรงพยาบาลทั้งนี้ภาวะปอดบวมน้ำมักเป็นการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่อเมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นแพทย์รักษาปอดบวมน้ำได้แล้วแพทย์จึงจะอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับไปดูแลตนเองที่บ้าน

การดูแลตนเองเมื่อกลับบ้านแล้วคือ

ปฏิบัติตามแพทย์พยาบาลแนะนำอย่างถูกต้องเคร่งครัด

กินยาต่างๆให้ครบถ้วนถูกต้องไม่ขาดยา

พักผ่อนให้เต็มที่

งดบุหรี่ไม่สูบบุหรี่

งดอาหารเค็ม

รักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ

พบแพทย์ตามนัดเสมอ

พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิมหรือเมื่ออาการต่างๆเลวลงหรือเมื่อกังวลในอาการ