กระดานสุขภาพ

อาการเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
Anonymous

30 ตุลาคม 2561 02:58:52 #1

คุณหมอครับ แม่ผมอายุ58ปี สูงประม่ณ145 มีอาการเหนื่อยง่ายรู้สึกไม่ค่อยมีแรง นั่งรถไปไหนมาไหนก็เพลียง่าย แม่ผมเป็นเกี่ยวกับอะไรหรอครับ (แม่ผมไม่ค่อยทานข้าวกลางวัน)
อายุ: 22 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 50 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.93 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

3 พฤศจิกายน 2561 17:45:13 #2

เหนื่อยล้า อ่อนล้า ล้า หรืออ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการหรือความรู้สึกไม่ใช่เป็นโรค มักพบเกิดหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน ทำงานหนักต่อเนื่อง และ/หรือมีปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ

เหนื่อยล้าเป็นอาการพบบ่อยอาการหนึ่ง พบได้ทั้งในเด็ก (มีรายงานพบเกิดได้ในเด็กตั้งแต่ อายุ 5 ปี) ไปจนถึงผู้สูงอายุโดยพบได้บ่อยขึ้นเมื่อยิ่งสูงอายุ ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้ใกล้เคียงกัน

บางท่านแบ่งอาการเหนื่อยล้าได้เป็น 3 ประเภทคือ

อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำ (Physiologic fatigue)

อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ (Secondary fatigue) และ

อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)

แต่บางท่านแบ่งอาการเหนื่อยล้าเป็น 2 ประเภทคือ

อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) และ

อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)

ก. อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน (Physiologic fatigue) ได้แก่ อาการ เหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับทุกคน จะมีอาการในช่วงระยะเวลาสั้นๆจากพักผ่อนไม่เพียงพอ, อดนอนทำงานหนัก, มีปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ โดยอาการจะหายไปเองหลังการพักผ่อนหรือผ่านระยะ ความเครียด/กังวลนั้นไปแล้ว มักมีอาการอยู่ประมาณไม่เกิน 2 - 4 สัปดาห์ซึ่งจัดเป็น “อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue)”

ข. อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ (Secondary fatigue) คืออาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากมีสาเหตุผิด ปกติของร่างกายเช่น

จากมีโรคเรื้อรังเช่น โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง ภาวะซีด ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก หรือ

จากผลข้างเคียงของยาบางชนิดเช่น ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิจะหายได้ภายหลังการรักษาควบคุมสาเหตุได้แล้ว ทั้งนี้อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิเป็นได้ทั้ง “อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) และอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome)”

ค. อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) คืออาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา ไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งคืออาการเหนื่อยล้าตามปกติที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันและอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ

ง. อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue หรือ Chronic fatigue syndrome) คืออาการ เหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งมักเกิดจากการควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุไม่ได้ เช่น ควบคุมโรคมะเร็งไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งเมื่ออาการเกิดขึ้นเรื้อรังนานเกิน 6 เดือนและเป็นอาการที่แพทย์ตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนเรียกว่า กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue syndrome หรือย่อว่า ซีเอฟเอส/CFS)

แนวทางการรักษา

1.แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน คือ การพักผ่อนและการนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกๆวัน การออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ

2.แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ คือ การดูแลรักษาควบคุมสาเหตุเช่น การดูแลรักษาควบคุมโรคเบาหวาน หรือภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก เป็นต้น

3.แนวทางการรักษาอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง คือ การรักษาประคับประคองตามอาการเนื่องจากไม่ทราบสาเหตุเช่น การให้ยากระตุ้นให้ตื่นตัว การให้ยานอนหลับ การให้ยาแก้ปวด การให้ยารักษาอาการซึมเศร้า การให้ฮอร์โมนบางชนิด การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบในทุกๆวัน การออกกำลังกายพอควรกับสุขภาพ การเลิกบุหรี่ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการจำกัดเครื่องดื่มกาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ โคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง)

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าคือ

ควรพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ให้เหมาะสมกับสุขภาพ

กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบทุกวัน

ออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายเสมอให้เหมาะสมกับสุขภาพ

รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อเพราะเมื่อเหนื่อยล้า ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายจะต่ำลงจึงมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้น

เลิก/ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เลิก/ไม่สูบบุหรี่

จำกัดเครื่องดื่มกาเฟอีนเพราะจะมีผลต่อการนอนหลับ

ไม่ซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้าง เคียงให้เหนื่อยล้าได้

ดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง

ควรพบแพทย์เมื่อ

อาการเหนื่อยล้าไม่ดีขึ้นหลังพักผ่อนเต็มที่แล้ว หรือมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือต่อการ งาน

ผอมลงโดยยังกินได้เป็นปกติ

มีอาการปวดต่างๆผิดปกติหรือปวดมากเช่น ปวดศีรษะ ปวดข้อ เป็นต้น

มีอาการผิดปกติต่างๆเช่น คลำพบก้อนเนื้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีเลือดออกทางใดทางหนึ่งเช่น ทางเหงือก ทางปัสสาวะ หรือทางอุจจาระ หรือมีเลือดออกปนในเสมหะหรือในน้ำลาย

มีความกังวลในอาการ