กระดานสุขภาพ

ปวดข้างจมูกกระบอกตา จมูก ถ่ายไม่แอกคลื่นไส้
Anonymous

11 กันยายน 2561 11:55:47 #1

ถ่ายไม่ออก ปวดท้องปวดหัว ปวดตาปวดข้างจมูก เกี่ยวกันยังไงคะ
อายุ: 28 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 55 กก. ส่วนสูง: 158ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.03 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

16 กันยายน 2561 18:32:36 #2

จากอาการทั้งหมดที่ปรึกษาไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือเฉพาะเจาะจงกับภาวะใด แต่การที่มีท้องผูก สามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องได้นะคะ
ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการ ไม่ใช่โรค ได้แก่ อาการไม่ถ่ายอุจจาระตามปกติ ซึ่งโดยคำนิยามทางการแพทย์ ท้องผูก หมายถึงความผิดปกติทั้งจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ ซึ่งต้องน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลักษณะของอุจจาระต้องแห้ง แข็ง การขับถ่ายต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วง และภายหลังอุจจาระแล้วยังมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด

ท้องผูกเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยคือ

• เกิดจากลำไส้เคลื่อนตัวช้ากว่าปกติหรือบีบตัวลดลง ทั้งนี้เพราะขาดตัวกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้จากมีลำอุจจาระเล็ก เช่น จากกินอาหารที่ขาดใยอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำน้อย อุจจาระจึงแข็งและลำอุจจาระเล็ก ลำไส้จึงบีบตัวลดลง อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้า

• จากขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเคลื่อนตัวช้า

• จากปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เช่น ความเครียด ความกังวล หรือการไม่มีเวลาพอในการขับถ่าย จึงส่งผลถึงการทำงานของลำไส้ลดการบีบตัวลง

สาเหตุที่พบได้แต่น้อย คือ

• มีโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของกล้ามเนื้อลำไส้และ/หรือประสาทลำไส้ จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวลดลง กากอาหาร/อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ช้าลง เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆเช่น เบาหวาน ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ และไตวาย

• มีโรคของระบบประสาท จึงส่งผลถึงการทำงานเคลื่อนไหวบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ลด ลง เช่น โรคหลอดเลือดสมองโรคเนื้องอก/มะเร็งของสมอง หรือของไขสันหลัง

• โรคของกล้ามเนื้อเอง จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัวลดลง เช่น โรคหนังแข็ง (Scleroderma)

• กินยาบางชนิดที่ลดการบีบตัวของลำไส้ เช่น ยาคลายเครียดบางชนิด ยาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด หรือยาขับน้ำ/ยาขับปัสสาวะ

• โรคของลำไส้เอง ก่อให้เกิดการอุดกั้นลำไส้ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

แนวทางการรักษาอาการท้องผูกที่สำคัญคือ การเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มเคลื่อนที่ได้ง่าย ซึ่งคือ การกินอาหารมีใยอาหารสูง (ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วต่างๆ) และดื่มน้ำสะ อาดวันละมากๆเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม (เช่น โรคหัวใจล้มเหลว) อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว และเคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอ

ถ้าอาการท้องผูกยังคงมีอยู่ไม่ดีขึ้นหลังปรับเปลี่ยนอาหาร ดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจใช้ยาแก้ท้องผูกโดยปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ ถ้าซื้อยากินเอง

เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกนานเกิน 5 - 7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เพราะการใช้ยาแก้ท้องผูกบ่อยๆจะยิ่งกลับมาท้องผูกมากขึ้นและต้องเพิ่มปริมาณใช้ยามากขึ้นจนอาจก่ออันตรายได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง ปวดท้อง

นอกจากนั้นคือ การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อเป็นสาเหตุของท้องผูก เป็นต้น

โดยทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากอาการท้องผูก นอกจากความไม่สุขสบาย นอกจาก นั้นคือ เกิดโรคริดสีดวงทวารจากการเบ่งอุจจาระเป็นประจำ และ/หรืออาจเกิดแผลแตกรอบๆทวารหนัก (แผลรอยแยกขอบทวารหนัก) จากก้อนอุจจาระที่แข็งกดครูด

แต่ในบางครั้งเมื่อท้องผูกเรื้อรังมากจนก้อนอุจจาระแข็งมาก อาจก่ออาการลำไส้อุดตันได้ (ปวดท้องมาก รุนแรง อาเจียนมาก ไม่ผายลม) ซึ่งเป็นอาการที่ควรต้องพบแพทย์ฉุกเฉิน

โดยทั่วไปอาการท้องผูกไม่รุนแรง เมื่อปรับพฤติกรรมการกิน/ดื่มน้ำและเคลื่อนไหวออกกำ ลังกายเพิ่มขึ้น อาการท้องผูกจะหายไปเอง แต่ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุด้วย ดังนั้น เมื่อเกิดอาการท้อง ผูกโดยไม่เคยเป็นมาก่อนและอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเองภายใน 1 - 2 สัปดาห์ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ แต่เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ภายใน 5 - 7 วันหลังใช้ยาเพื่อหาสาเหตุ และเพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยาแก้ท้องผูกถ้าใช้ยานานกว่านี้ดังกล่าวแล้ว

การดูแลตนเองเมื่อท้องผูก เช่นเดียวกับการป้องกันท้องผูกคือ

• กินอาหารมีใยอาหารสูงในทุกมื้ออาหาร

• ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม

• เคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอไม่นั่งๆนอนๆ

• ผ่อนคลายอารมณ์ ลดความเครียด ลดความกังวล

• ฝึกขับถ่ายเป็นเวลา ควรเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก และมีเวลาให้ในการขับถ่ายไม่รีบเร่ง

• ไม่กลั้นอุจจาระจนเป็นนิสัย เมื่อปวดถ่ายควรรีบเข้าห้องน้ำเสมอ

• ควรปรึกษาแพทย์เรื่องท้องผูกโดยไม่ควรใช้ยาแก้ท้องผูกเอง แต่ถ้าจะใช้ยาแก้ท้องผูกเอง ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา

• ควรพบแพทย์ เมื่อ

◦ ดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้วยังท้องผูก

◦ ใช้ยาแก้ท้องผูก ประมาณ 5 - 7 วันแล้วท้องผูกยังไม่ดีขึ้น

◦ ท้องผูกเกิดโดยไม่เคยมีอาการมาก่อน

◦ มีอาการท้องผูกเรื้อรังนานเกิน 1 สัปดาห์

◦ ท้องผูกสลับท้องเสียโดยไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

◦ อุจจาระมีลักษณะเล็กแบนเหมือนริบบิ้น เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่า อาจมีลำไส้ใหญ่ตีบ ซึ่งอาจจากมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่

◦ มีเลือดออกหลังอุจจาระบ่อย เพราะอาจเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวาร หรือมีก้อนเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่

◦ กังวลในอาการ

• ควรรีบพบแพทย์หรือพบแพทย์เป็นการฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อท้องผูกร่วมกับ

◦ ปวดเบ่งมากเมื่อถ่าย

◦ ปวดท้องมาก และ/หรือคลื่นไส้ อาเจียน เพราะอาจเป็นอาการของ ลำไส้อุดตัน

◦ อุจจาระเป็นเลือด