กระดานสุขภาพ
การแพ้อาหาร | |
---|---|
6 เมษายน 2561 02:10:29 #1 คือว่าแพ้แอลกอฮอล์ค่ะ เคยดื่มแล้วผื่นคันขึ้น 5 วันกว่าจะหายแต่แอลกอฮอล์ล้างแผลไม่แพ้นะคะ แล้วมีอยู่ช่วงนึงคือกินแอลกอฮอล์บ่อยมากๆ อาการแพ้ก็ลดลงเหลือ 2 วัน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เป็นผื่นคันจากการกินแอลกอฮอล์อีกเลย แต่จากที่ไม่เคยแพ้อากาศเย็นก็แพ้ อยู่ในห้องแอร์นานๆผื่นก็ขึ้น แล้วไม่แน่ใจว่าแพ้นมถั่วเหลืองด้วยหรือเปล่า หลังเวลากินประมาณครึ่งชม.หรือหนึ่งชม. จะรู้สึกเหมือนคอแห้งๆคันๆคอ หลังจากที่แพ้อากาศกับนมถั่วเหลืองก็เป็นๆหายๆมาตลอด 5 เดือนได้แล้วค่ะ แต่ไม่ได้กินแอลกอฮอล์มา 3-4 เดือนแล้ว ล่าสุดมีอาการปวดขาด้วยค่ะบริเวณต้นขาเหนือหัวเข่าปวดข้างๆ เหมือนๆกับตอนขาอักเสบจากการออกกำลังกาย แต่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยค่ะช่วงนี้อย่างมากคือเดินขึ้นบันได ปวดมา 7 วันแล้วค่ะ บวกกับช่วงนั้นอยู่ในห้องแอร์นานด้วย ทำให้บริเวณที่ปวดมีผื่นแดงขึ้นเป็นทางยาว จับแล้วเจ็บ อยากทราบว่าเกี่ยวกับอาการแพ้ไหมคะ แล้วแพ้อากาศกับนมถั่วเหลืองจะหายแพ้ได้ไหม แต่ก่อนก็ไม่เคยแพ้ |
|
อายุ: 19 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 44 กก. ส่วนสูง: 153ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.80 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
พญ.กิติพร กวียานนท์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป |
10 เมษายน 2561 06:56:22 #2 โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช แต่ในโรคภูมิแพ้ร่างกายจะเกิดการตอบสนอง อย่างมากผิดปกติต่อสารเหล่านั้นจึงทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้(Allergen) นั้นเช่น ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เมื่อเราหายใจเข้าไปทางจมูก สารก่อภูมิแพ้จะไปสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกแล้วทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูกเกิดอาการคัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสๆ และคันจมูก ถ้าเป็นโรคหืด เมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลมก็จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม แล้วหลอดลมก็จะตอบสนองด้วยการหดเกร็ง เกิดอาการของหลอดลมตีบขึ้น ทั้งนี้อาจใช้เวลาก่อนเกิดอาการเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้หลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ยังมักมีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบสนองไวกว่าปกติต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่ใช่ สารก่อภูมิแพ้ได้เช่น ความเย็น ความร้อน ความกดอากาศต่ำ ฝนและ/หรือความชื้น ซึ่งภาวะนี้อาจอยู่นานเป็นวันหรือเป็นเดือนก็ได้และสามารถเกิดอาการได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้เกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าถ้าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 30 - 50% แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงประมาณ 50 - 70% ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลยมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงประมาณ 10% เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นการกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่างๆเช่น ควัน บุหรี่ ไรฝุ่น ในผู้ป่วยและครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ซึ่งมีความเสี่ยงสูง) จะสามารถลดอาการของโรค หรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้ ชนิดของโรคภูมิแพ้อาจแบ่งตามระบบของร่างกายออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ 1. โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจได้แก่ โรคหืด (Asthma) 2. โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ (Allergic rhinitis) 3. โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergic skin disease) 4. โรคภูมิแพ้ทางตา (Eye allergy) 5. โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีอาการหลายระบบ (Anaphylaxis) สำหรับโรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergic skin disease): ที่พบบ่อยได้แก่ ลมพิษและผื่นผิวหนังอัก เสบจากภูมิแพ้ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้มักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุขวบปีแรก โดยประมาณ 80 - 90% ของเด็กที่เป็นโรคนี้มักมีอาการก่อนอายุ 7 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการผื่นคันตามลำตัวและหน้า เป็นๆหายๆ ผิวแห้งอักเสบ และมีอาการกำเริบเป็นระยะๆเมื่อได้รับสารกระตุ้น ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้จะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะโรคหืดเมื่อเด็กโตขึ้น สาเหตุที่สำคัญของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังในเด็กได้แก่แพ้อาหาร โดยอาหารที่พบว่าแพ้ได้บ่อย ในเด็กไทยคือ ไข่ นมวัว อาหารทะเล และแป้งสาลี หลักการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีหลักการทั่วไปคือ
การควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้ ได้มีการสำรวจผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยพบว่า มักจะแพ้ไรฝุ่นฝุ่นบ้านเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ แมลงสาบ ละอองเกสรพืช และขนสัตว์ ถ้าทำได้แนะนำให้ทำการทดสอบผิวหนังในผู้เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าแพ้อะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกต้องและยังใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาทำการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนอีกด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้รับการทดสอบผิวหนัง หรือไม่สามารถทำการทดสอบได้ก็ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ซึ่งที่พบบ่อยคือ 1. ไรฝุ่น
2. แมลงสาบ
3. สัตว์เลี้ยง
4. เกสรหญ้า
การให้การรักษาด้วยยา เราอาจแบ่งการรักษาโรคภูมิแพ้ออกได้เป็น 3 ระดับเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ดังนี้ 1. ยาบรรเทาอาการต่างๆเช่น ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน(Antihistamine) และยาขยายหลอดลม 2. ยาต้านการอักเสบเช่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกหรือสูดทางปาก 3. การใช้วัคซีนภูมิแพ้ เป็นการรักษาโดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายเริ่มจากปริมาณน้อยๆและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเกิดความชินต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งผู้ป่วยที่ควรรับการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีนภูมิแพ้คือ ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีผลข้างเคียงจากยา โดยก่อนจะเลือกรักษาด้วยการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องทราบก่อนว่าแพ้อะไรเพื่อจะได้นำสารที่แพ้มาฉีดเป็นวัคซีน ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้ป่วยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำอย่างน้อย 3 - 5 ปี สิ่งสำคัญในการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้คือหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ การใช้ยาตามแพทย์แนะนำสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายตามแพทย์แนะนำให้สม่ำเสมอ ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อมีอาการมากขึ้นหรือใช้ยาไม่ได้ผลดี ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุว่ามีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่และเพื่อปรับการรักษา |
Anonymous