กระดานสุขภาพ

ถ่ายมีมูกปนเลือด
Domi*****i

18 พฤศจิกายน 2560 03:32:19 #1

เมื่อวันศุกร์ช่วงกลางวันถ่ายออกมาเป็นมูกมีเลือดปน แต่ถ่ายที่ตามออกมาไม่มีเลือด พอเข้าวันเสาร์ตอนถ่ายก็พยามดูให้ละเอียด มีเลือดเล็กน้อยแค่พอสังเกตุได้ เป็นคนที่มักมีอาการท้องไส้โครกครากมาพักใหญ่แล้ว และมีอาการของริดสีดวงมาหลายปี ถ้าถ่ายแข็งถ่ายยากจะมีเลือดหยดติ๋งๆ เจ็บ ก่อนหน้าที่จะถ่ายมีมูกเลือด 2-3 วันก็มีการถ่ายแข็งเจ็บ แต่ตอนนั้นไม่สังเกตุว่ามีเลือดออกนะคับ
อายุ: 42 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 70 กก. ส่วนสูง: 175ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.86 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

18 พฤศจิกายน 2560 17:00:52 #2

อุจจาระเป็นเลือด เลือดออกทางทวารหนัก หรือถ่ายเป็นเลือด หรืออุจจาระมีเลือดปน(Bleeding per rectum) เป็นอาการที่เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ
โรคที่พบเป็นสาเหตุได้บ่อยคือ

  • โรคริดสีดวงทวาร (พบได้บ่อยที่สุด)
  • โรคแผลรอยแยกขอบทวารหนัก
  • โรคฝีคัณฑสูตร
  • โรคติ่งเนื้อเมือกลำไส้ใหญ่ (Colorectal polyp)
  • และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (พบได้น้อยในคนอายุต่ำกว่า 35 ปี)

โรคอื่นๆที่พบเป็นสาเหตุได้น้อยกว่าเช่น

  • โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่
  • โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • โรคลำไส้อักเสบ
  • โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง
  • โรคเลือดบางชนิดที่ส่งผลให้มีเกล็ดเลือดต่ำ (เกล็ดเลือดช่วยป้องกันภาวะเลือดออกง่าย)มีแผลในทวารหนักหรือในลำไส้ใหญ่จากสาเหตุต่างๆเช่น ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งในอุ้งเชิงกราน (ผลข้างเคียงและวิธีดูแลตนเองเมื่อฉายรังสีรักษาบริเวณช่องท้อง และ/หรืออุ้งเชิงกราน)
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเสดส์ (NSAIDs)
  • หรือโรคเลือดบางชนิดที่ส่งผลให้มีเกล็ดเลือดต่ำ (ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ)

ทั้งนี้เมื่อมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ เพื่อวินิจ ฉัยแยกจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นโรคที่รุนแรง แต่สามารถรักษาให้หายได้เมื่อตรวจพบโรคตั้งแต่ในระยะเริ่มเป็นโรค

Domi*****i

19 พฤศจิกายน 2560 06:11:31 #3

ผ่านมา 2 วัน วันนี้ถ่ายพยามตรวจดูไม่มีเลือดแล้วคับ แต่ดูหมือนอาหารไม่ค่อยย่อย
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

20 พฤศจิกายน 2560 17:35:09 #4

อาการของอาหารไม่ย่อย หรือธาตุพิการ (Indigestion หรือ Dyspepsia) คือ อาการไม่สุขสบายที่เกิดขึ้น อาจมีเพียงอาการเดียว หรือหลายๆอาการพร้อมกัน อาจเกิดในขณะกินอาหาร และ/หรือภายหลังกินอาหาร เช่น แน่นท้อง อึดอัด เรอ แสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ บางครั้งอาเจียน

อาหารไม่ย่อย เป็นอาการมักพบในผู้ใหญ่ เป็นอาการพบบ่อยประมาณได้ถึง 25-40% ของประชากรทั้งหมดต่อปี โอกาสเกิดอาการใกล้เคียงกันทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย

อาการอาหารไม่ย่อยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 60%ของผู้มีอาการนี้ทั้งหมด คือ แพทย์หาสาเหตุไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยการตรวจด้วยวิธีใดๆก็ตาม ซึ่งรวมทั้งการตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่ง เรียกผู้ป่วยในกลุ่มนี้ว่า Functional dyspep sia
นอกจากนั้นที่พบเป็นสาเหตุของอาการนี้ คือ

  • • จากโรคแผลเปบติค หรือ แผลในกระเพาะอาหาร พบได้ประมาณ 15-25%
  • • โรคกรดไหลย้อน (ไหลกลับ) หรือโรคเกิร์ด (GERD, Gastroesophageal reflux) พบได้ประมาณ 5-15%
  • • โรค มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือโรคมะเร็งหลอดอาหาร พบได้ประมาณ น้อยกว่า 2%
  • • นอกนั้น จากสาเหตุอื่นๆที่พบได้บ้างประปราย เช่น โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคตับอ่อนอัก เสบ โรคกระเพาะอาหารบีบตัวได้น้อย โรคขาดน้ำย่อยอาหารบางชนิด เช่น น้ำย่อยน้ำนม โรคเบาหวานมีพยาธิลำไส้ โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งตับอ่อนและจากผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดส์ (NSAIDS, Non-steroidal anti-inflammatory drug)

อาการจากอาหารไม่ย่อยที่พบได้บ่อย คือ

  • • แน่น อึดอัดท้อง โดยเฉพาะบริเวณกลางช่องท้องตอนบน มักมีอาการได้ตั้งแต่ใน ขณะกินอาหาร หรือหลังกินอาหารอิ่มแล้ว
  • • ปวดท้อง มวนท้อง แต่อาการไม่มาก โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะอาหาร (ช่องท้องบริเวณลิ้นปี่/ตรงกลางของช่องท้องตอนบน)
  • • แสบ ร้อน บริเวณลิ้นปี่ และ/หรือ แสบร้อนกลางอก
  • • อาจมีคลื่นไส้ และ/หรืออาเจียนได้
  • • อาจมีท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และ/หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหารลำไส้มาก

การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีอาการอาหารไม่ย่อย คือ

  • • การปรับพฤติกรรมการกินอาหาร โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อปัจจัยเสี่ยง
  • • อาจปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยา ซื้อยาลดกรด หรือยาช่วยย่อยอาหารกินเอง
  • • ถ้าภายหลังการดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์ หรือเมื่อกังวลในอาการ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ
  • • แต่ถ้าอาการต่างๆเลวลง ควรรีบพบแพทย์ภายใน 1 สัปดาห์ และ
  • • ควรรีบพบแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเหมือนยางมะตอย หรือมีอาเจียนเป็นเลือด
  • ป้องกันการเกิดอาการอาหารไม่ย่อยได้โดย การป้องกันสาเหตุ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังได้กล่าวแล้วในตอนต้นที่ป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ รวมทั้งการปรับพฤติกรรมการกินอาหาร เช่น
  • • กินอาหารให้ตรงเวลา
  • • กินอาหารแต่ละมื้อไม่ให้อิ่มมากเกินไป
  • • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  • • ไม่กินอาหารรสจัด
  • • หลังกินอาหารไม่นอนทันที
  • • เคลื่อนไหวร่างกายสักพักหลังกินอาหารเพื่อช่วยการย่อย และการบีบตัวของกระ เพาะอาหารเพื่อขับเคลื่อนอาหารออกจากกระเพาะอาหารได้เร็ว ไม่คั่งค้างให้เกิดอาการ

นอกจากนั้น คือการสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอาการ กับประเภท และปริมาณอาหาร และหลีกเลี่ยง หรือลดปริมาณอาหารเหล่านั้นๆลง ค่อยๆปรับตัวไปเรื่อยๆ