กระดานสุขภาพ
ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า | |
---|---|
29 ตุลาคม 2560 03:33:32 #1 เพื่อนหนูเป็นคนขี้กลัว เมื่อวันที่15กันยายน60 เพื่อนพึ่งฉีดกระตุ้นพิษสุนัขบ้า2เข็มเพราะโดนกัด เกินหกเดือนหลังจากที่โดนกัดปี59แล้วฉีดครบ4เข็ม หลังจากนั้นมา10วัน เล่นกับสุนัขแล้วสุนัขกัด เพื่อนโดนกัดอีก ก็ได้ไปฉีดกระตุ้นอีก1เข็ม ก็กลับมาสองวันด้วยความที่เพื่อนหนูชอบเล่นกับสัตว์ ก็โดนแมวขวั่นก็ไปโรงพยาบาลเดิม หมอไม่ฉีดให้เพราะหมอว่ามีภูมิแล้ว ก็เลยไปอีก รพ.หนึ่งก็ได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นอีก1เข็ม หลังจากนั้นมันไม่เข็ดอีกสามวันไปบ้านป้าที่ต่างจังหวัดโดนสุนัขข้างบ้านป้ากัดอีกก็เลยไป รพ.(ใหม่) ไปโกหกหมอเพื่อที่จะได้ฉีดกระตุ้น1เข็ม เพื่อที่จะได้สบายใจ ซึ่งระยะห่างแต่ละเข็มไม่ค่อยห่างกันมากเลยหนูเรียดแทนมันเลย 1.สรุปเเล้วเพื่อนมันฉีดวัคซีนบ่อยมากเป็นห่วงเพื่อนจะเป็นไรไหมคะหมอ 2.หนูอยากถามว่าเพื่อนหนูฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าบ่อยจะพัฒนาเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ไหม 3.แล้วถ้าหากเพื่อนมันโดนกัดอีกควรฉีดไหม |
|
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 56 กก. ส่วนสูง: 160ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.88 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
พญ.กิติพร กวียานนท์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป |
29 ตุลาคม 2560 18:55:10 #2 โรคพิษสุนัขบ้าพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น
ในประเทศที่พัฒนาแล้วแทบไม่พบว่าสุนัขและสัตว์เลี้ยงในบ้านชนิดอื่นๆเป็นสาเหตุของโรค เนื่องจากมีการควบคุมการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์เลี้ยงอย่างเข้มงวด ไม่มีสัตว์จรจัด สัตว์ที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ (มากกว่า 90%) จึงเป็นสัตว์ป่า เช่น แรคคูน สกั๊ง สุนัขจิ้งจอก และที่สำคัญคือค้างคาว ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย สุนัขยังคงเป็นสาเหตุที่สำคัญ โดย 96% ของผู้ป่วยไทยติดเชื้อมาจากสุนัขอีก 3 - 4 % มาจากแมว
คนจะติดเชื้อจากสัตว์เหล่านี้ได้โดย
ข้อบ่งใช้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าคือ ใช้สำหรับป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในเด็กและในผู้ใหญ่ ทั้งแบบป้องกันล่วงหน้าก่อนถูกสัตว์กัด (Pre-exposure vaccination) หรือใช้หลังสัมผัสโรค/เมื่อถูกสัตว์กัด/สัตว์เลียแผล (Post-exposure vaccination) ดังนี้
ประโยชน์ของการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสนี้ มีประโยชน์หลายประการเช่น ในผู้ที่จำเป็นต้องสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำ การฉีดวัคซีนฯเพื่อป้องกันจะทำให้ระดับภูมิคุ้มกันโรคฯสูงพอที่ป้องกันการติดเชื้อฯในกรณีที่ไปสัมผัสโรคฯที่อาจไม่รู้ตัว อีกทั้งยังทำให้การรักษาภายหลังสัมผัสโรคฯมีค่าใช้จ่ายลดลงและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะผู้ป่วยที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน กรณีได้รับบาดเจ็บจากสัตว์สามารถรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ากระตุ้นเพิ่มเติมอีก 1 - 2 ครั้งเท่านั้นและไม่จำเป็นต้องให้ยาอิมมูโนโกลบุลิน แม้การสัมผัสโรคจะรุนแรงคือเกิดบาดแผลที่มีเลือดไหล 2. การฉีดวัคซีนนี้ป้องกันหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า (Post-exposure vaccination) มีจุด ประสงค์เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรคฯ ขนาดและตารางเวลาในการฉีดวัคซีนสำหรับป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในเด็กและในผู้ใหญ่จะเหมือนกัน ดังนั้นจึงสามารถปฏิบัติตามตารางเวลาในการฉีดวัคซีนได้ทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ป่วยผู้ใหญ่ โดยวิธีการฉีดวัคซีนจะแตกต่างกันตามจุดประสงค์ในการฉีดดังนี้ 1. การฉีดแบบป้องกันล่วงหน้า (Pre-exposure immunization) ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: แนะ นำให้ฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 3 เข็มโดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ณ วันที่ 0 (เข็มที่ 1), ณ วันที่ 7 (เข็มที่ 2) และ ณ วันที่ 21 หรือ 28 (เข็มที่ 3) เมื่อฉีดครบทั้งสิ้น 3 เข็มถือว่าครบวัคซีนชุดแรก (Primary vaccination) โดยวันที่ฉีดอาจคลาดเคลื่อนได้บ้างเล็กน้อย 1 - 2 วัน 2. การฉีดวัคซีนกระตุ้นหลังได้รับวัคซีนแบบป้องกันล่วงหน้าทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: ภายหลังได้รับวัคซีนชุดแรก (Primary vaccination) ครบ 1 ปีแล้ว ให้ทำการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำอีก 1 เข็ม จากนั้นกระตุ้นซ้ำทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้อาจพิจารณาการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าสูง ซึ่งจะทำการฉีดเข็มกระตุ้นซ้ำเมื่อทำการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันแล้วต่ำกว่า 0.5 ยูนิต/มิลลิลิตร 3. การฉีดแบบป้องกันหลังสัมผัสโรค (Post-exposure immunization) ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: วิธีการฉีดวัคซีนสำหรับการป้องกันหลังสัมผัสโรคคือ ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular) หรือฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal) โดยให้ฉีดวัคซีนในช่วง 14 วันแรกภายหลังสัมผัสโรคเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค ดังนั้นผู้ป่วยควรมารับวัคซีนให้ตรงตามตารางเวลาที่กำหนดเสมอ กรณีมาผิดนัดโดยทั่วไปจะทำการฉีดวัคซีนเข็มต่อไปเลยโดยไม่ต้องเริ่มการฉีดวัคซีนใหม่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ร่วมด้วย 3.1 วิธีฉีดสำหรับป้องกันหลังสัมผัสโรคทั้งในเด็กและผู้ใหญ่: ก.กรณีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular):
ข. กรณีฉีดเข้าในผิวหนัง (Intradermal): การฉีดด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดโปรดศึกษาหัวข้อ “วิธีบริหารวัคซีนฯ” เพิ่มเติม
3.2 กรณีผู้ป่วยมีการสัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าซ้ำในช่วงที่กำลังได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่: ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีก เพราะพบว่าขณะนั้นผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องฉีดยาอิมมูโนโกลบุลินป้องกันเชื้อพิษสุนัขบ้า |
Anonymous