กระดานสุขภาพ

หมอครับผมถ่ายผิดปกติครับ
Anonymous

4 กันยายน 2560 04:19:36 #1

คือตอนแรกเดือนที่แล้ววันที่2สิงหา เหมือนมีมูกปน วันที่3เหมือนจะเหลว หยุดถ่าย2วัน พอวันจันทร์ก็ถ่ายปกติ จนถึงวันนี้วันที่4กันยา2560 ก็เหมือนเดิม ถ่ายสลับครับ เหมือนผมเป็นลำไส้แปรปรวน หรือป่าวครับ ไม่มีเลือดออกมาครับ ไม่มีมูกเลือด ตลอด1เดือนแล้ว จนถึงวันนี้ แต่อุจจาระเหมือนมีมูกเคลือบสีน้ำตาลบ้าง ตอบด้วยครับ
อายุ: 20 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 90 กก. ส่วนสูง: 180ซม. ดัชนีมวลกาย : 27.78 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

4 กันยายน 2560 04:24:16 #2

บางทีอุจจาระเป็นสีเข้มครับ บ้างครั้งครับ ไม่ได้เป็นบ่อย เหมือนมีมูกปนออกมาด้วยครับ มูกใสๆเคลือบเหมือนน้ำตาลเข้มสีดำมั้งครับ
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

7 กันยายน 2560 17:33:44 #3

สีอุจจาระ แบ่งเป็นสีอุจจาระปกติ และสีอุจจาระจากภาวะ/โรคผิดปกติ

1. สีปกติของอุจจาระ

มักเป็นสีน้ำตาล น้ำตาลเข้ม หรือน้ำตาลออกเหลือง ทั้งนี้ โดยเป็นสีที่เกิดจากน้ำดีที่เป็นน้ำย่อยอาหารจากตับและจากถุงน้ำดี

นอกจากนั้น ในคนปกติ สีของอุจจาระ ยังขึ้นกับประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ยา และทุกอย่างที่เราบริโภค แต่ทั้งนี้ อุจจาระปกติมักเป็นก้อนแข็ง หรือก้อนอ่อน และไม่มีอาการผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นรุนแรงมาก ท้องเสีย มีไข้ ปวดท้อง

สีอุจจาระ ที่พบได้บ่อยที่ไม่ได้เกิดจากโรค นอกจากที่กล่าวแล้ว คือ

อุจจาระสีดำ หรือน้ำตาลเข็มจัดเกือบดำ หรือเขียวเข้มจัด หรือม่วงจนดำ เมื่อ กินผลไม้เปลือกสีดำหรือม่วงเข้ม เช่น พรุน องุ่นดำ เชอร์รีดำ, ยาบำรุงเลือด/ธาตุเหล็ก, ยาโรคกระเพาะบางชนิด เช่น ยาที่มีสารบีสมัธ/Bismuth, สมุนไพรบางชนิดโดยเฉพาะสมุนไพรจีน, สีอาหาร/ลูกอม, และเฉาก๋วย
อุจจาระสีออกแดงหรือชมพู เช่น เมื่อกินมะละกอสุก มะเขือเทศ บีทรูท
อุจจาระสีเหลือง เช่น เมื่อดื่มนมมาก หรือกินอาหารไขมันมาก
อุจจาระสีเขียว มักเกิดจากในอุจจาระมีน้ำดีที่ยังไม่ผ่านกระบวนการย่อย ปนออกมามาก มักเกิดเมื่อกินอาหารหวาน หรือน้ำตาลบางชนิดมากเกินไป โดยเฉพาะ จากของค้าง ของไม่สด หรืออาจเกิดจากสารที่ใช้แต่ง สี กลิ่น รส อาหาร เช่น ในขนมกรุบกรอบ ลูกกวาด หรือจากสมุน ไพรบางชนิดที่อยู่ในอาหาร เช่น ชะเอม ที่มักใช้เป็นสารเพิ่มความหวาน

2. สีอุจจาระผิดปกติ

สีอุจจาระที่ผิดปกติ ไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะผิดปกติที่เกิดจากโรค มักเกิดร่วมกับลักษณะอุจจาระผิดปกติ เช่น เป็นก้อนเละ เหลว เป็นน้ำ หรือเปียกเหนียว อาจมีกลิ่นผิดปกติหรือไม่ก็ได้ขึ้นกับสาเหตุ สาเหตุผิดปกติที่ทำให้สีอุจจาระเปลี่ยนไป ที่พบได้บ่อย คือ

อุจจาระดำ เปียก เหนียว เหมือนยางมะตอย และมีกลิ่นเหม็นรุนแรงผิดปกติ จะเกิดจากมีเลือดออกในทางเดินอาหารตอนบน (หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กตอนบน)
อุจจาระเป็นเลือด พบบ่อย จาก โรคริดสีดวงทวาร ติ่งเนื้อเมือกลำไส้ใหญ่ ลำไส้อักเสบ และมะเร็งลำไส้ใหญ่
อุจจาระสีซีด ออกสีเทา เกิดจากภาวะไม่มีน้ำดีในอุจจาระ เช่น ตับอักเสบ ไวรัสตับอัก เสบ และโรคต่างๆที่ทำให้เกิดมีการอุดตันของระบบทางเดินน้ำดี เช่น ตับอ่อนอักเสบ มะเร็งตับอ่อน เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อมีสีและลักษณะอุจจาระผิดปกติ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ปวดท้องหรือหลังกินยาแก้ปวดต่อเนื่อง ควรต้องพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล

โรคลำไส้แปรปรวน หรือเรียกย่อว่า โรคไอบีเอส (IBS, Irritable bowel syndrome หรือ อาจเรียกว่า Spastic colon) ได้แก่ โรคซึ่งเกิดจากการทำงานผิดปกติของลำไส้ ซึ่งก่อให้เกิดอาการ ปวดท้อง ท้องเสียสลับท้องผูก เป็นๆหายๆ โดยแพทย์มักตรวจไม่พบพยาธิสภาพ (สิ่งผิดปกติ) ของอวัยวะต่างๆในระบบทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่)

ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน แต่จากการศึกษา มีได้หลายสมมุติฐาน คือ

  • - กล้ามเนื้อของอวัยวะภายใน ซึ่งรวมทั้งกล้ามเนื้อลำไส้ อาจทำงานตอบสนองต่อสิ่งกระ ตุ้น (สิ่งเร้า) ผิดปกติ โดยถ้าลำไส้ตอบสนองมากเกินไปต่ออาหาร/เครื่องดื่มที่บริโภค จะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น จึงเกิดท้องเสีย แต่ถ้าลำไส้เคลื่อนไหวลดลง จะเกิดท้องผูก ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ มักมีอาการกลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่อยู่ร่วมด้วย จึงเป็นที่มาของสมมุติฐานว่า อาจมีการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในต่างๆ
  • - เยื่อบุลำไส้ อาจตอบสนองไวต่ออาหาร/เครื่องดื่มสูงกว่าคนปกติ จากการกระตุ้นด้วยอา หาร/เครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาเฟอีน จึงส่งผลให้เกิดท้องเสียเมื่อกิน/ดื่ม อาหารที่มีสารตัวกระ ตุ้นเหล่านี้
  • - มีตัวกระตุ้นสมองให้หลั่งสารบางชนิด เช่น ซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง ร่วมกับอาการท้องเสีย เช่น ปัญหาทางอา รมณ์/จิตใจ เช่น ความเครียด
  • - อาจจากร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อของลำไส้ เพราะในผู้ป่วยบางราย พบเกิดโรคนี้ตามมา ภายหลังมีการอักเสบติดเชื้อของลำไส้
  • - อาจจากสมองทำงานแปรปรวน จึงส่งผลต่อการแปรปรวนของลำไส้ อาจจากการทำงาน หรือมีปริมาณแบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora แบคทีเรียที่มีประ จำในลำไส้ มีหน้าที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ช่วยการดูดซึมและสร้างวิตามินเกลือแร่บางชนิด) ในลำไส้ผิดปกติ

โรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคเรื้อรัง ดังนั้น อาการต่างๆจึงมักเป็นๆหายๆ บางครั้งอาการอาจดีขึ้น ไม่มีอาการเป็นหลายๆเดือน แล้วกลับมามีอาการใหม่อีก โดยอาการพบบ่อยของโรคลำไส้แปรปรวน ได้แก่

ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลม (แก๊ส/ก๊าซ) มากในท้อง
ปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะดีขึ้นหลังขับถ่าย หลังจากนั้นก็กลับมาปวดท้องใหม่
ท้องผูก หรือ ท้องเสียโดยเฉพาะหลังกินอาหาร หรือเมื่อตื่นนอนต้องรีบขับถ่าย หรือ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสียเป็นๆหายๆ บ่อยครั้งอุจจาระคล้ายมีมูกปน แต่ไม่มีเลือดปน
มีอาการคล้ายถ่ายอุจจาระไม่หมด/ไม่สุด
กลั้นอุจจาระไม่อยู่ เมื่อปวดอุจจาระต้องเข้าห้องน้ำทันที

อนึ่งอาการของโรคมักรุนแรงขึ้นเมื่อ กินอาหาร หรือ ดื่มเครื่องดื่มบางชนิด เช่น นม เครื่องดื่มกาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ โคลา) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต และ/หรือ ผัก ผล ไม้ บางชนิด กินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมาก ช่วงมีประจำเดือน และ/หรือในช่วงมีความ เครียด แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้แตกต่างกันได้ในแต่ละบุคคลซึ่งควรต้องสังเกตด้วยตนเอง

การดูแลตนเอง เมื่อมีอาการดังกล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ คือ การปรึกษาแพทย์ เพราะดังกล่าวแล้วว่า เป็นอาการคล้าย โรคลำไส้อักเสบ หรือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทั้งนี้เพื่อวินิจฉัยแยกโรคเหล่านั้น และเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคลำไส้แปรปรวน การดูแลตนเอง/การพบแพทย์ ได้แก่

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล
  • เข้าใจในโรค ยอมรับความจริงของชีวิต รักษาสุขภาพจิต
  • สังเกต อาหาร และเครื่องดื่มต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดอาการหรือทำให้อาการรุนแรงขึ้น เพื่อการหลีกเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณ
  • กินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง กินอาหารที่ย่อยง่าย และรสไม่จัด
  • อาจลองกินอาหารในกลุ่ม โปรไบโอติก (Probiotic) เช่น โยเกิร์ต เพื่อปรับสมดุลของแบคทีเรียประจำถิ่นในลำไส้
  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มกว่าเดิม ประมาณอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำ กัดน้ำดื่ม (เช่น โรคหัวใจล้มเหลว) เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียจากท้องเสีย เพื่อป้อง กันภาวะขาดน้ำ และเพื่อป้องกันท้องผูก
  • ปรึกษาแพทย์เรื่องการกินยาแก้ท้องเสียในลักษณะที่เป็นการป้องกันไว้ก่อน
  • รีบพบแพทย์ก่อนนัด เพราะแสดงว่า อาจมีโรคอื่นๆเกิดขึ้น เช่น ลำไส้อักเสบ หรือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อ
  1. มีไข้สูง
  2. อุจจาระเป็นเลือด หรือ เป็นมูกเลือด
  3. ซีด
  4. ปวดท้องมากผิดปกติ หรือลักษณะปวดท้องผิดไปจากที่เคยเป็น