กระดานสุขภาพ
ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสษ บี | |
---|---|
10 พฤศจิกายน 2559 06:24:11 #1 ผมได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีที่ทำงานบริษัท แต่ผลการตรวจเลือดออกมาว่า ผม "ไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสษ บี ครับ ผมต้องเข้ารับวัคชีนเพิ่มที่ รพ หรือป่าว แต่ไม่เคยเป็นโรคไวรัสนะคครับ แค่ขาดภูมิคุ้มกัน |
|
อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 60 กก. ส่วนสูง: 174ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.82 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
พญ.กิติพร กวียานนท์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป |
14 พฤศจิกายน 2559 05:40:09 #2 ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดบีในเมืองไทยจำนวนมาก โดยที่ผู้ป่วยเหล่านี้อาจไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยเหล่านี้ บางคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเองเป็นโรคนี้ จนกระทั่งไปตรวจเลือด จึงพบว่าเป็นโรคนี้ก็มี หรือบางคนไปบริจาคโลหิต แล้วจึงทราบว่าเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จำนวนหนึ่งจะกลายเป็นโรคร้ายแรงซึ่งจะได้กล่าวต่อไป โรคไวรัสตับอักเสบชนิดติดต่อกันได้อย่างไร ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ส่วนมากไม่ทราบว่าติดโรคนี้มาได้อย่างไร การติดต่อของโรคนี้ติดต่อกันได้ ที่สำคัญมี 4 ทาง คือ
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เป็นอย่างไร อาการของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
3.1 มีผู้บริจาคตับจำนวนน้อย ทำให้ไม่เพียงพอที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยส่วนใหญ่ ตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยโรคนี้มักจะได้มาจากผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ตับยังดีอยู่ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากญาตผู้ป่วยด้วย 3.2 เนื้อเยื่อของตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยต้องเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยด้วย 3.3 ผู้ป่วยที่มีภาวะตับวาย มักจะมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น สมองบวม, ปอดบวม, เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถจะเปลี่ยนตับให้แก่ผู้ป่วยได้ 3.4 ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนตับ จำเป็นต้องได้รับการรับประทานยากดภูมิต้านทาน เพื่องป้องกันไม่ให้ร่างกายนั้น มีปฏิกิริยากับตับที่นำมาเปลี่ยนให้ การได้รับยาชนิดนี้นาน ๆ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
2.1 จากไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบ ชนิด A, B, C, D และ E 2.2 จากยาบางชนิด ยาหลายตัวที่มีพิษต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยาซัลฟา, ยาเตตราซัยคลิน, ยาอีรีโทรมัยซิน เป็นต้น ยารักษาโรควัณโรคหลายตัวก็มีพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะรับประทานยาชนิดใด ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะยานั้นอาจมีพิษต่อร่างกายได้ 2.3 จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ทุกชนิด เช่น เบียร์ วิสกี้ เหล่า ไวน์ เป็นต้น มีโอกาสจะเกิดภาวะตับอักเสบได้ เพราะแอลกอฮอลล์นั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีพิษต่อตับทำให้เกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่มด้วย ถ้าดื่มปริมาณมากและระยะเวลานานก็มีโอกาสจะเกิดตับอักเสบได้มากขึ้น 2.4 จากสารพิษบางชนิด ในปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งสมุนไพรบางชนิดอาจมีพิษต่อตับได้ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ดังนั้นการที่จะรับประทานสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นยาลูกกลอน ยาหม้อ, ยาดองเหล้า ฯลฯ จึงควรต้องระมัดระวังว่า อาจมีโอกาสที่จะเกิดอาการดีซ่านขึ้นได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี เมื่อเป็นแล้วจะเป็นเรื้อรังทุกราย หรือไม่ - ไม่เป็นตับอักเสบเรื้อรังทุกราย ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสลชนิดบีเข้าไปครั้งแรก จะมีอาการน้อยจนถึงมีอาการรุนแรงดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ผู้ป่วยเหล่านี้ประมาณ 10% เท่านั้น ที่จะเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือพาหะของโรค ส่วนใหญ่ประมาณ 90% จะหายเป็นปกติ - ถ้าเราไม่เคยมีอาการใด ๆ มาก่อน เราอาจจะไปพบแพทย์ เพื่อขอเจาะเลือดตรวจ ซึ่งแพทย์จะตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย ถ้าผู้ป่วยมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและมีภาวะตับอักเสบด้วย น่าจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง แต่ถ้าจะให้แน่ใจแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเจาะเลือดอีก 6 เดือน ถ้ายังพบเชื้อและยังมีภาวะตับอักเสบอยู่ ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคตับเรื้อรังจากไวรัสชนิดบี แต่ถ้าเจาะเลือดแล้วมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบก็น่าเป็นพาหะของโรคนี้ ถ้าอีก 6 เดือนต่อมา เจาะเลือดแล้วยังพบเชื้อเหมือนเดิม แต่ไม่พบภาวะตับอักเสบ ก็แสดงว่าผู้ป่วยเป็นพาหนะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ผู้ป่วยที่มีอาการดีซ่าน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะไปพบแพทย์ ซึ่งก็จะทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ จากการตรวจและเจาะเลือดของแพทย์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรัง หรือพาหะของโรคนี้มีอันตรายอย่างไร ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้ มีโอกาสจะเกิดโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งของตับหรือทั้ง 2 อย่าง ได้สูงกว่าคนที่ไม่เป็นโรคนี้ โรคตับแข็งและโรงมะเร็งของตับเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายในขณะนี้ โรคตับแข็งจะเป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ และภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้บ่อย ส่วนโรคเนื้องอกหรือมะเร็งของตับนั้นเมื่อเป็นแล้ว ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ การรักษาในขณะนี้ที่พอจะได้ผล ก็ได้แก่การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก และการใช้ยาฉีดทำลายเซลล์มะเร็ง โดยผ่านสายฉีด เข้าไปทางเส้นเลือดที่ไปสู่ก้อนเนื้องอกของตับโดยตรง แต่ไม่ว่าเราจะรักษาด้วยวิธีใด ๆ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ก็มีอายุไม่ยืนยาว ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 1 ปี หรือน้อยกว่าถ้าไม่รักษาก็อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน เราจะมีวิธีป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร ในปัจจุบัน วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้โดยการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดการเลือกฉีดวัคซีน จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ
|
Maxl*****0 |
19 พฤศจิกายน 2559 08:11:00 #3
สรุปคือผมต้องอย่างไร ขอสรุปสั้นๆ ครับ
1.คือผมได้รับการตรวจเลือดแล้ว
2.คือผลออกมาปกติ ไม่การติดเชื้อ
3.คือภูมิคุ้มกันไวรัส บี ผมไม่มี
4.คือผมต้องรับวัคชีลเพิ่มหรือไม่
5.ถ้าไม่ผมต้องเข้ารับการตรวจเลือดอีกรอบหรือป่าว
|
Maxl*****0