เตาไมโครเวฟเป็นเครื่องครัวที่จำเป็นในปัจจุบันช่วยให้อาหารร้อนในเวลารวดเร็วใช้สะดวก พื้นที่โดยรอบบริเวณที่ใช้สะอาด ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

เช่นเดียวกับแสงสว่าง โดยอยู่ในช่วงของคลื่นวิทยุความถี่สูง (high frequency radiowave) โดยทั่วไปไมโครเวฟมีใช้ในงานด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม โทรศัพท์เคลื่อนที่ เรดาร์ อุปกรณ์นำร่องทางการบินและการเดินเรือ นอกจากนั้นได้มีการนำไปใช้ในการให้ความร้อนทางอุตสาหกรรมและการรักษาโดยการใช้ความร้อน ในช่วงเวลาต่อมาก็มีการใช้เตาไมโครเวฟตามบ้านเรือน ทางอุตสาหกรรม และการพาณิชย์เพิ่มขึ้นจำนวนมากเมื่อไมโครเวฟกระทบสิ่งต่างๆ จะเกิดผลแตกต่างกันสามแบบคือ

1. สะท้อนกลับ เมื่อไมโครเวฟกระทบกับโลหะจะสะท้อนกลับออกไปจึงใช้โลหะในเตาไมโครเวฟไม่ได้ เช่น แผ่นกระดาษตะกั่ว (อลูมิเนียมฟอยล์) เป็นต้น อาหารที่อยู่ภายในจะไม่ร้อน และอาจเกิดประกายในเตาได้ในส่วนการนำโลหะเข้าเตาไมโครเวฟได้มีผู้ทำการทดลองนำเอาฟอยล์ผิวเรียบเข้าไปในไมโครเวฟพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่เมื่อนำอลูมิเนียมฟอยล์มาขยำก่อนเข้าไมโครเวฟพบว่าทำให้เกิดประกายไฟขึ้นในเตาไมโครเวฟ

2. ผ่านทะลุเลยไป ไมโครเวฟผ่านทะลุแก้ว ไม้ กระดาษพลาสติกเข้าไปยังอาหารโดยที่แก้ว ไม้ กระดาษ พลาสติกไม่ร้อนเว้นแต่เมื่อกระทบกับอาหารร้อนจึงร้อนตามภาชนะที่จะใช้ใส่อาหารเข้าเตาไมโครเวฟได้ดีคือ เครื่องแก้วกระเบื้องหรือเครื่องดินเผา กระดาษ และไม้ก็ใช้ได้ดี แต่จะต้องตักใส่จานทีหลังพลาสติกเองไม่ร้อนแต่อาจละลายเมื่อถูกกับอาหารที่ร้อนมากๆ

3. ซึมเข้าในเนื้อ อาหารมีความชื้นที่จะดูดรับไมโครเวฟทำให้โมเลกุลของความชื้นสั่นสะเทือนอย่างเร็วมาก เสียดสีกันจนเกิดความร้อนทำให้อาหารร้อนได้เร็วสามารถอุ่นอาหารสำหรับกินมื้อหนึ่งได้ในหนึ่งหรือสองนาทีไมโครเวฟอยู่ระหว่างคลื่นวิทยุกับอินฟราเรดไม่มีอันตรายเช่นเดียวกันกับคลื่นวิทยุ ชีวิตในปัจจุบันกระทบกับพลังเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาตามธรรมชาติเป็นคลื่นที่ไม่ทำให้โมเลกุลแตกตัวเป็นไออ้อนหรืออนุมูลไม่ทำให้เกิดอันตรายสะสมในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายร่างกายไม่สะสมไมโครเวฟต่างกับรังสีต่างๆ ที่ทำให้เกิดอนุมูล

ที่มา; “รังสีจากเตาไมโครเวฟ” บทความสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย,http://www.nst.or.th/article/article494/article49401.html

“knowledge - ความรู้เกี่ยวกับไมโครเวฟ ” Verasu.com.

“ ไมโครเวฟอันตรายจริงหรือ ” รายการ วิทยาตาสว่าง ปี 2 ตอน 3 ,อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ,คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.