กระดานสุขภาพ

หยุดทานยาคุมกำเนิด
Poon*****6

5 พฤษภาคม 2560 08:12:01 #1

อยากสอบถามคุณหมอหน่อยคะ ดิฉันหยุดทานยาคุมกำเนิดมาได้ 4 ปี เพิ่งหยุดทานไปเมื่อประมาณ ปลายปี 59 คะ หลังจากหยุดทานยา 1-2 เดือนแรก ปจด.มาช้ากว่าปกติ และไม่มากคะ เดือน กพ. 60 มา 2 ครั้ง ครั้งละ 3-4 วันแต่ไม่มาก มาครั้งล่าสุด ประมาณ 18 มี.ค 60 4-5 วันแต่ไม่มากคะ หลังจากนั้นประจำเดือนก็ขาด ปกติมี พสพ.กับแฟน แต่หลั่งนอกคะ ช่วงเดือน เม ย ได้ทานยาสมุนไพรแบบดื่ม เป็นยาระบาย และลดความอ้วนคะ ช่วงนี้น้ำหนักลดลงไป 2-3 โลแล้วคะ ทานข้าวน้อยลง และทานไม่เป็นเวลา ทำงาน 8 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกับการดื่มน้ำสมุนไพร หรือการใช้ชีวิตประจำวันรึป่าวคะ กลัวว่าจะตั้งครรค์ อาการผิดปกติของร่างกาย ก็มีตกขาวบ่อยๆ แต่ไม่มาก ไม่มีกลิ่น มีปวดหลังแต่ไม่บ่อย หน่วงๆ ท้องเหมือน ปจด.จะมาแต่ไม่มา คะ รบกวนช่วยตอบด้วยนะค่ะ ขอบคุณคะ
อายุ: 24 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 170 กก. ส่วนสูง: 56ซม. ดัชนีมวลกาย : 542.09 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล

(สูติ-นรีแพทย์)

10 พฤษภาคม 2560 10:05:50 #2

ลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ

ในเรื่องกลุ่มยาที่กล่าวมานั้น หมอขอกล่าวโดยรวมๆนะครับ ในความคิดเห็นของหมอนั้นตัวยาประเภทนี้ เป็นยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ซึ่งกลไกการออกฤทธิ์นั้นอาจคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูก อาจทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นได้ แต่จะไม่มีฮอร์โมนที่ทำให้เยื่อบุหลุดลอกสลายตัวออกมาได้ ดังนั้น การที่จะนำมาเพื่อการรักษาอาการเลือดประจำเดือนผิดปกติ หรือ มาใช้เพื่อควบคุมปรับรอบประจำเดือนนั้น ยังอาจนำมาใช้ค่อนข้างยากลำบากครับ อาจทำให้เลือดประจำเดือนมาผิดปกติได้ อาจมาปริมาณมาก หรือ มีผลต่อการตกไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งมีผลทำให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ประจำเดือนเลื่อนออกไปได้ครับ โดยในความเห็นของหมอ ไม่ควรทานยาประเภทนี้นะครับ เพราะอาจทำให้สับสนได้ว่าความผิดปกตินั้น เกิดจากอะไร

ส่วนในเรื่องตกขาวนั้น ปกติแล้ว ในช่วงหลังกลางรอบเดือนจนถึงก่อนจะมีประจำเดือนรอบถัดไป หรือหลัง มีเพศสัมพันธ์อาจมีสารคัดหลั่งที่มากขึ้นได้นะครับ หากไม่มีอาการผิดปกติใด เช่น ตกขาวสีเขียวหรือเหลือง กลิ่นเหม็น หรือปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลครับ สังเกตุอาการไปได้ก่อนครับ ส่วนหากตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ