กระดานสุขภาพ

สับสนกับอาการไม่ปกติยามต้องพบเจอคนหมู่มาก
Anonymous

12 กุมภาพันธ์ 2556 07:13:09 #1

สวัสดีค่ะ หนูมีความคับข้องใจที่เป็นมาได้หลายปีแล้ว แต่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าเป็นอะไร

แม้แต่หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ (คือหนูอยู่ต่างประเทศค่ะ)

อาการก็คือ อยู่ดีๆ จะเกิดอาการจิตตก ระแวงคนรอบข้าง แบบคิดไปเองค่ะ

เวลาเป็น กล้ามเนื้อทุกส่วนจะเกร็งขึ้นเรื่อยๆ

ตาก็จะแข็ง การควบคุมร่างกายทุกส่วนมันเกร็งไปหมด แล้วเราจะต้องหาทางออกจากจุดนั้นทันที

เพราะไม่สามารถที่จะอยู่ตรงนั้นได้โดยปกติ คือรู้ตัวเรย และจะเป็นเฉพาะตอนที่่ต้องเจอผู้คน

หรือแม้แต่เจอคนที่เราไม่ค่อยสนิทใจ ต้องสนทนากับเค้า ก็เกิดอาการขึ้นได้

ตอนนี้ มันส่งผลกับการทำงานค่ะ หนูออกจากงาน หนูออกเองนะคะโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุในเรื่องนี้

ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้ มีแต่คนบอกว่าออกทำไม เพราะหนูทำงานเป็นอันดับหนึ่งในร้าน ทำเงินให้ร้านได้มากมาย

เพราะอาการนี้ จู่ๆมันจะเกิดขึ้นเอง หนูก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหนเมื่อไหร่ มันแย่มาก

ปรึกษาหมอ เค้าก็ให้ยา คลายกังวล กับ อารมณ์ดีขึ้น มาอย่างละเม็ด ก็ทานมาตลอด แต่อาการก็ยังคงเหมือนเดิมค่ะ

ยังเป็นอยู่ ทานมา3ปีแล้วค่ะ

หนูอยากหาย หนูเสียดายหน้าที่การงานและความสามารถที่เรามีอยู่ซึ่งหนูเคยทำมันได้ดี แต่ติดที่มาเป็นอย่างนี้

ทุกวันนี้นั่งมองเพื่อนเค้าทำงานกัน หนูก็เศร้าใจ ทุกวันนี้จะไปไหนทำอะไร

ก่อนออกจากบ้าน ต้องนั่งถามตัวเองก่อนแล้ว ว่า ไหวมั้ย จิตใจปกติพร้อมออกไปโดยไม่กังวลมั้ย ตลอดเรยค่ะ

ฝากคุณหมอ ช่วยชีวิตหนูด้วย ขอบพระคุณค่ะ

 

อายุ: 31 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 45 กก. ส่วนสูง: 158ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.03 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

14 กุมภาพันธ์ 2556 00:59:01 #2

จากอาการที่คุณเล่ามา น่าจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังเป็นโรคกลัว(Phobia) แต่การที่หมอบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร ทำให้สงสัยว่าหมอที่ดูแลคุณอาจจะไม่ใช่จิตแพทย์ เพราะถ้าเป็นจิตแพทย์น่าจะบอกได้

ถ้าต้องไปพบหมอคราวต่อไป ขอประวัติการวินิจฉัยโรค และยาที่ใช้มาให้ดูด้วยนะครับ จะได้ช่วยให้คำตอบคุณได้กระจ่างกว่านี้ แต่อย่าไปบอกเขานะครับว่าคุณไม่เชื่อใจเขา เพราะคุณอาจต้องพึ่งพาเขาอีก อาจจะบอกว่าคุณต้องกลับเมืองไทย จำเป็นต้องได้ประวัติการรักษาเพื่อหมอทางนี้จะได้ดูแลคุณต่อเนื่องได้ (มุสาบ้างคงไม่เป็นไรนะครับ)

ทีนี้มาว่าเรื่องการรักษา และการดูแลตัวเอง โรคนี้มีวิธีการรักษาอยู่ ๒ ขั้นตอน อย่างแรกคือการใช้ยา ซึ่งคุณบอกว่าหมอให้ยามาสองอย่าง คือยาคลายกังวล กับยาที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ผมว่าน่าจะโอเค เพียงแต่ว่าชนิดและขนาดของยาที่ให้ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร เพียงพอที่จะรักษาโรคได้หรือไม่ อันนี้ไม่สามารถตอบได้ครับ นอกจากคุณจะมีประวัติมาให้ผม

ขั้นตอนที่สอง คือการฝึกให้ตัวเอง "เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวอย่างเป็นขั้นตอน" หรือภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า "Systemic Desensitization" (เผื่อคุณจะไปค้นอ่านดูเอง) ลองทำตามนี้ครับ

  1. ทุกวันก่อนนอน ลองใช้เวลาสัก ๑๐ นาที นั่งนิ่งๆ สบายๆ แล้วจินตนาการว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก สุดลมหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ บอกตัวเองว่า "ฉันจะสู้กับมัน" ถ้ามีความกังวล ไม่สบายใจเกิดขึ้น ให้ทนอยู่กับมันจนครบ ๑๐ นาทีให้ได้ แล้วค่อยหยุด ทำแบบนี้ทุกวันจนกว่าความรู้สึกกลัวจะหายไป ไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะหัวใจวาย หรือขาดใจไปเลยครับ รับรองว่าจะไม่เป็นแบบนั้นแน่ ที่ผู้ป่วยโรคนี้กลัวก็ตรงนี้แหละ มันเลยทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าที่จะสู้กับความกลัว
  2. เมื่อสามารถสู้กับความกลัวใน ๑๐ นาทีโดยไม่มีอาการได้แล้ว ให้ขยายเวลาออกไปเป็น ๒๐ นาที ๓๐ นาที และสังเกตและจำความรู้สึกของตัวเองด้วยนะครับว่า ถ้าคุณสู้กับมันความกลัวก็จะทำอะไรคุณไม่ได้ ทำแบบนี้จนคุณมั่นใจว่าเมื่อมีความกลัวเกิดขึ้น คุณจะจัดการกับมันได้
  3. เมื่อสู้กับจินตนาการได้แล้ว ก็ถึงเวลาเจอของจริง ออกจากบ้านไปในที่ๆ มีคนเยอะๆ เวลาไหนก็ตามสะดวก ดูซิว่าเมื่อเจอของจริงเข้าคุณจะยังกลัวอยู่อีกไหม ถ้ายังเป็น ใช้วิธีในข้อ ๑ สู้กับมันจนครบ ๑๐ นาที แล้วกลับบ้าน และอย่าลืมบอกตัวเองว่า "ฉันจะสู้กับมัน" นะครับ เพราะการกำหนดจิตแบบนี้มันมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของสมองและร่างกายของเรามากทีเดียว
  4. เมื่อสู้ได้จนครบ ๑๐ นาทีโดยไม่มีความกังวลแล้ว ขยายเวลาขึ้นไปอีกตามแบบในข้อ ๒
  5. ทำตามที่ว่าจนกว่าคุณจะรู้สึกมั่นใจ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปรกติ

มีอีกเรื่องที่อยากแนะนำ ตอนนี้คุณกำลังมีอาการซึมเศร้าด้วยนะครับ หาเพื่อนที่คุณไว้ใจได้เล่าเรื่องที่เกิดกับตัวเองให้เขาฟัง การได้ระบายและมีคนรับฟังจะช่วยให้อารมณ์เศร้าของคุณดีขึ้น การอยู่คนเดียวจะยิ่งทำให้เราจมไปกับมันมากขึ้น

ขอเอาใจช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับปัญหานี้ได้อย่างลุล่วงครับ

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

Anonymous

14 กุมภาพันธ์ 2556 18:39:33 #3

โห ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาตอบกลับและสละเวลา หนูพยายามเปิดดูทุกวันตั้งแต่พิมพ์มา พอเห็นหนูแทบร้องไห้เรย

มันอึดอัดมากจนแทบบ้า บอกแฟน บอกแม่ เค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ แถมแม่ยังบอกว่าหนูคงเป็นโรคจิตโรคประสาทอีก

หนูเป็นคนที่ตัดสินใจไปหาหมอเองค่ะ เพราะหนูรู้ตัวว่าไม่ปกติแน่แล้ว แต่ก่อนที่หมอจะฟังเรื่องราวของหนู

หนูขอบอกว่ามันเป็นเรื่องแย่เอามากๆ แต่หนูจะบอกทั้งหมดแม้ว่ามันน่าอายนะคะ และยาวมากค่ะ

คือ หนูเริ่มเป็นเมื่อ6ปีก่อน แฟนทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรงมากค่ะ แต่หนูว่ามันน่าจะสะสมมาก่อนหน้านั้น

คือหนูเคยมีแฟนเก่าเมื่อสิบปีที่แล้วค่ะตอนอายุ20 หนูท้อง แฟนไม่แสดงความรับผิดชอบ และหนุก็ยังไม่มั่นคง

ทำงานกลางคืนถ้ามีลูกก็อาศัยใครไม่ได้ ไม่อยากทำให้เค้าเกิดมาแล้วเลี้ยงเค้าได้ไม่ดี  

จึงตัดสินใจไปทำแท้งเพราะหนูไม่ต้องการให้ลูกต้องเกิดมามีปมด้อยและต้องลำบาก เพราะหนูพ่อแม่ก็หย่ากัน

ตอนไปทำแท้งยิ่งหนักที่สุดในชีวิต เพราะหมอบอกว่ากับหนูว่าหนูเป็น hiv ไม่สามารถรับทำให้ได้

แฟนไล่ให้หนุกลับเมืองไทย หนูอยากตายมาก ณ ตอนนั้น เหม่อลอยเหมือนหนูตายไปแล้วแต่ยังมีลมหายใจ

อีก2วันให้หลัง หนูถูกแฟนโกหกว่าหมอที่นั่นโทรมาบอกว่าเช็คชื่อคนไข้ผิดแล้วเค้าก็พาไปทำที่ใหม่ ทุกอย่างผ่านไป

หลังจากนั้นหนูเลิกกับเค้า และกลับเมืองไทยเพราะหนูเกิดเลือดออกไม่หยุดทางอวัยวะเพศเหมือนประจำเดือน

ไปหาหมอไทย ก็ต้องช็อคอีกครั้งเมื่อหมอบอกว่า หนุติดเชื้อ  พยาบาลมาดูหน้าเราเต็มไปหมด อยากตายจริงๆ

เค้าแนะให้ไปคลินิกนิรนามหนูก็ไป และด้วยค่ายาที่สูงหนุจึงต้องกลับเมืองนอกอีกครั้ง โดยยังไม่ได้ทานยาต้านใดๆ

อีก2ปี ก็มามีแฟนคนที่2ตอนอายุ22ทีนี้ยิ่งหนัก ทั้งทำร้ายร่างกายทั้งติดยา

(หมออย่าคิดว่าหนูโง่นะคะที่ทำไมไปคบคนแบบนั้น)

คือแรกๆเค้าดีมากๆ และหนูไม่รู้เรื่องเสพยาเรยจนเข้าปีที่สาม เค้าเริ่มทำร้ายร่างกายพูดจาหยาบคายจนทิ้งหนุไป

หนูกินไม่ได้และอยู่คนเดียวเป็นปีจนล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่นาน3เดือนและที่นั่นทำให้หนูได้เริ่มทานยาต้าน

อย่างจริงจัง เพราะcd4เหลือแค่2 หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ทำงานมาเรื่อย

จนมาเจอแฟนคนที่3 ก็เอาอีกแรกๆก็ดี แต่สุดท้ายก็นอกใจ งานไม่ทำหนูหาคนเดียว และก็ไปเอาเพื่อนเรา

มันอับอายมากเพราะเค้ารู้กันทั้งเมืองแต่หนูไม่รู้ โดนเขาหลอกมาหลายปี คราวนี้ทรุดอีกแล้ว

อยู่คนเดียวในห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน เดือนเดียวน้ำหนักลง10โล ตื่นมาก็กรีดร้องเหมือนใจจะขาด มันรับไม่ไหว

สุดท้ายตัดสินใจไปหาแม่ไม่งั้นหนูตายแน่ที่ไม่มีใคร คือแม่อยู่อีกเมืองนึงน่ะค่ะ

ตอนไปอยู่กับแม่ แม่ดูแลอย่างดี หนูก็เอาแต่เขียนบันทึกรักบ้าบอ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า รุ้ตัวนะว่าซึม

ลืมไปเรยว่ายิ้มทำยังไง จนกระทั่งแม่พาไปทานอาหารในห้าง ตอนนั้นคนเยอะมากกกก

จู่ก็เกิดเกร็งมือเท้าเย็น ใครมองก็เกร็ง  เหงื่อแตก หัวใจเต้นเร็ว มือที่จับช้อนสั่นและตกลงบนโต๊ะหกหมด

 มีแต่คนมอง หนูรีบลุกออกมา ตอนนั้นแม่เข้าห้องน้ำ กระเป๋าหนูก็อยู่บนโต๊ะอาหาร ตอนเดินหูก็แว่วแต่หันไปไม่มีคน

แล้วมาหลบที่มุมตึกที่ไม่มีคน โทรหาแม่พากันกลับบ้าน และเก็บตัวอยู่ในห้อง เหมือนผีตายซาก

จนเพื่อนแม่มาเยี่ยม เค้าก็พูดภาษานอกกับแม่ว่าเราซึมมากผิดปกติ

พอเค้ากลับไปหนูเรยบอกแม่ว่า หนูคงต้องหาหมอจิตแพทย์แล้ว หนูไม่ไหวจึงได้ไปหาหมอ

และก็ตามที่ได้เรียนไปยาที่ให้มา2ตัว บางครั้งได้ผลค่ะ บางครั้งไม่ได้ผล

ชื่อยา wypax0.5mg และ Abilit Tablets 50mg

ทุกวันนี้หนูมีแฟนที่ดีแล้วค่ะเป็นกำลังใจที่ดีและรู้เรื่องโรคภัยของหนูดีจัดยาให้หนูทุกวัน

แต่เรื่องนี้แฟนช่วยไม่ได้จริงๆ และมีผลกับค่าใช้จ่ายเพราะทำงานไม่ได้อย่างที่บอก แฟนก็เงินเดือนน้อย

 

ต้องกราบขอโทษคุณหมอด้วยนะคะที่เล่าเรื่องเยิ่นเย้อ หนูอยากทราบชื่อและโรงพยาบาลคุณหมอค่ะ

เพราะถ้าจำเป็นต้องกลับไปรักษาที่เมืองไทยหนูจะไปหาคุณหมอค่ะ ถ้าไม่รังเกียจว่าหนูเป็นอะไรนะคะ

ขอกราบขอพระคุณคุณหมอมากค่ะ หนูจะไม่ลืมบุญคุณเรย ถ้าหนูได้หายจริงๆ ขอบพระคุณค่ะ

 

Anonymous

14 กุมภาพันธ์ 2556 19:05:40 #4

หวังว่าคุณหมอคงไม่ช็อคไปอีกคนนะคะ ที่ต้องมารู้ว่าหนูเป็นโรคร้ายขึ้นมาอีก1

กว่าจะตัดสินใจเล่าก็คิดอยู่นานว่าคุณหมอจะรับได้มั้ย และจะตอบกลับอีกมั้ย ถ้าได้รู้

แต่หนูสบายใจขึ้นเยอะเรยค่ะที่ได้รู้ว่ามีทางรักษา อ้อ คุณหมอที่หนูบอกไม่รู้สาเหตุน่ะค่ะ เค้าเป็นหมอhivน่ะคะ

เคยบอกเค้าแล้วว่าอยากหาหมอเฉพาะทาง แต่เค้าบอกว่า หนูเป็นโรคนี้คงคิดมากมากกว่าน่ะค่ะ ซึ่งมันไม่ใช่

ยังไงต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ สุขสันต์วันวาเลนไทน์2556ด้วยค่ะ

 

นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

16 กุมภาพันธ์ 2556 15:02:04 #5

ดีใจครับที่คุณไว้ใจผม และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง

ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ ไม่ว่าใครเจอเรื่องหนักขนาดนี้ก็คงจะแย่เหมือนกัน แต่ผมขอชื่นชมคุณ เพราะคุณสู้มาได้ขนาดนี้ นับว่า "แกร่ง" มากๆ เลยทีเดียว ขอให้สู้ต่อนะครับ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันไม่ได้หมายความว่าชีวิตเราจะสิ้นหวัง ถ้าเราสู้ มันมีความหวังอยู่เสมอแหละครับ ที่สำคัญก็คือ อย่างน้อยยังมีคนอยู่สองคนที่รู้สึกว่าคุณมีความหมายต่อพวกเขา นั่นคือสามี และแม่ของคุณครับ

ผมเป็นจิตแพทย์ หน้าที่ของผมคือช่วยคนที่ทุกข์ใจให้สามารถคลี่คลายความทุกข์ใจที่มีอยู่ และ "คุณคือคนไทยเหมือนกันกับผม" เป็นคนไทยที่ต้องไปเจอกับความทุกข์อยู่ต่างแดน เพราะฉะนั้นการช่วยคุณจึงเป็นทั้งหน้าที่ในความเป็นแพทย์ และหน้าที่ของคนไทย ขออย่าได้ลำบากใจที่จะต้องรบกวนผมครับ

ข้อมูลที่คุณให้มาใหม่ ทำให้ผมชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาของคุณ ปัญหาที่เร่งด่วนตอนนี้ก็คือ คุณกำลังป่วยด้วยโรคอารมณ์เศร้า(Depressive Disorder) ต้องรักษาอย่างแน่นอน แต่ยาที่คุณบอกมาไม่มียารักษาอารมณ์เศร้าครับ เป็นแค่ยาคลายเครียด และยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร

ผมจึงมีข้อแนะนำ ๒ ข้อ

๑. ไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษา แต่ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายพอดู ผมไม่ทราบว่าคุณอยู่ประเทศไหน เพราะบางประเทศค่าใช้จ่ายในการพบจิตแพทย์สูงมาก แต่ก็จำเป็นนะครับ โรคนี้ถ้ารักษาเต็มที่จะใช้เวลาประมาณ ๖ เดือนครับ

๒. ในกรณีที่ไม่สามารถไปพบจิตแพทย์ได้ ลองคุยกับหมอ HIV ที่คุณพบอยู่ประจำ บอกเขาเลยว่าจิตแพทย์ไทย(Thai Psychiatrist) วินิจฉัย(Diagnose) ว่าคุณกำลังป่วยด้วยโรคอารมณ์เศร้า (Depressive Disorder) ต้องได้ยารักษาโรคนี้ ซึ่งคำในภาษาอังกฤษของยารักษาอารมณ์เศร้าคือ Antidepressant ยาที่มีใช้เกือบทุกประเทศและราคาไม่แพงคือยา Amitryptyline มีขนาดเม็ดละ ๑๐ และ ๒๕ มิลลิกรัม ในกรณีของคุณขนาดยาที่ใช้น่าจะอยู่ประมาณ ๕๐ - ๗๕ มิลลิกรัมต่อวัน และต้องใช้ยานี้ประมาณ ๖ เดือน ยานี้อาจทำให้คอแห้งและง่วงได้ครับ

แต่ถ้าหมอเขาไม่เล่นด้วยก็คงใช้วิธีตามข้อ ๑ ครับ และอย่าไปตำหนิเขานะครับ เพราะยาพวกนี้ถ้าไม่ใช่จิตแพทย์ บางทีหมอสาขาอื่นเขาก็อาจจะไม่กล้าใช้ก็ได้

ส่วนยารักษาการติดเชื้อก็ต้องรับประทานต่อครับ

มีอะไรก็เขียนมาปรึกษาได้เลย และขอเอาใจช่วยให้คุณมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปครับ

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์

(วว.รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์)

17 กุมภาพันธ์ 2556 15:08:01 #6

สวัสดีคะคุณ 9b316

ก่อนอื่น เว็บ haamor.com ของเรา ขอขอบคุณที่คุณไว้ใจ ถามคำถามต่อคณะแพทย์ของเรา ทั้งนี้เว็บบอร์ดของเรา เช่นเดียวกับเว็บบอร์ดทั่วไปที่ คำถาม และเรื่องเล่าของคุณ รวมทั้งคำตอบของแพทย์ จะปรากฏอยู่บนเว็บบอร์ด ที่ซึ่งผู้อื่นสามารถเข้ามาอ่าน และรับรู้ได้ทั่วไป เป็นสาธารณะ หากคุณมีความต้องการที่จะไม่ระบุ username หรือรูป profile สามารถเลือก "ไม่แสดงรูปภาพ และปกปิดชื่อข้อมูลจริง" ในขั้นตอนการตอบกลับนะคะ

 

พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์

บรรณาธิการฝ่ายแพทย์

Anonymous

19 กุมภาพันธ์ 2556 17:07:20 #7

ขอบคุณมากค่ะ หนูแปลภาษาและถ่ายเอกสารเพื่อเตรียมจะเอาไปให้หมอได้ดูค่ะ

ไม่รู้ว่าเค้าจะรักษาให้มั้ยแบบไหนยังไง แต่มีความหวังค่ะ ประมาณสิ้นเดือน

ถ้าผลออกมาเป็นยังไง หนูจะมาเล่าให้คุณหมอฟังนะคะ

อยากกลับไปทำงานค่ะ อยากกลับมาเป็นคนปกติ อยากหายจริงๆ