กระดานสุขภาพ
ตุ่มแดง หัวสีดำ บริเวณผิวอัณฑะ ขนาดไม่ใหญ่ | |
---|---|
1 พฤศจิกายน 2561 23:44:04 #1 สวัสดีครับ คุณหมอ ผมมีเรื่องจะสอบถามครับ ผมมีตุ่มแดง หัวสีดำ ขนาดเล็กบริเวณผิวอัณฑะ บริเวณผิวอัณฑะข้างเดียว ไม่ทั่วผิวอัณฑะทั่งหมด อาการ รู้สึกเจ็ปเวลาเดิน แต่ไม่ได้เจ็ปที่ลูก อัณฑะครับ เจ็ปแค่ผิวหนังอัณฑะบริเวณที่เป็นตุ่ม ปัสสาวะ ออกปกติไม่แสบไม่เจ็ป จึงขอสอบถามคุณหมอ เป็นอาการของโรคอะไรครับ ปล ชอบออกกำลังกายวิ่ง เป็นเวลานานๆครับ หรือ ใส่กางเกงในที่หลวมเกินไปไม่กระซับ ครับ ขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างสูงครับ |
|
อายุ: 29 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 63 กก. ส่วนสูง: 165ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.14 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Deal*****b |
1 พฤศจิกายน 2561 23:46:14 #2
ขอเสริมอาการอีกนิดครับ เจ็ปบริเวณตุ่มเมื่อกด แต่ไม่มีอาการคัน บริเวณตุ่มครับ แค่รู้สึกว่าเจ็ปขณะเดิน เดินไม่ค่อยสะดวกครับ
|
Deal*****b |
1 พฤศจิกายน 2561 23:49:39 #3
ควรทายาบริเวณผิวอัณฑะ หรือ ทานยาในลักษณะแบบไหน ครับ ตอนนี้ทาน Naproxen , Ciprofloxacin , Tolperisone , Clindamycin ทานไป 3-4วันแล้ว อาการไม่ได้ขึ้นเลยครับ ขอบพระคุณคุณหมอที่ ตอบจ้อสงสัยครับ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
2 พฤศจิกายน 2561 18:00:42 #4 ตุ่มที่เกิดขึ้นที่บริเวณลูกอัณฑะ ไม่คันและไม่เจ็บ ถ้าไม่มีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ คือ ยังไม่เคยร่วมเพศหรือเคยแต่ใช้ถุงยางทุกครั้ง ก็ไม่เป็นโรคติดต่อ อาจจะเกิดจาก 1. การอักเสบของต่อมใต้ผิวหนังคล้ายกับการเกิดสิว ให้กินยาแก้อักเสบ เช่น dicloxacillin ครั้งละ 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและก่อนนอนประมาณ 2 อาทิตย์ 2. ซีสต์หรือถุงน้ำหรือถุงไขมันใต้ผิวหนัง ถ้าไม่เจ็บ ไม่มีเลือดออกหรือไม่มีการอักเสบ ก็ไม่ต้องทำอะไร อาจจะยุบเองได้ แต่ถ้าใหญ่ขึ้น เจ็บ อักเสบ อาจจะต้องเลาะออก 3. โรคผิวหนังที่เกิดจากการแพ้ เกา จนเป็นตุ่ม หรือโรคผิวหนังอื่นๆ หรืออาจจะเป็นตุ่มที่เป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อกันได้ เช่น หิด แต่จะมีอาการคันและมีตุ่มคันตามรอบเอว ง่ามนิ้วร่วมด้วย 4. โดรคผิวหนังอื่นๆ แต่ถ้ามีความเสี่ยง เช่นมีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยาง ก็อาจจะเป็นโรคติดต่อ เช่น หูดหงอนไก่ หรือถ้าเป็นตุ่มน้ำใสๆแล้วแตกเป็นแผล ก็อาจจะเป็นเริม หรือโรคอื่นๆ โดยสรุป ขึ้นกับลักษณะของตุ่มที่เป็นร่วมกับพฤติกรรมทางเพศ แนะนำหาหมอหรือส่งรูปถ่ายชัดๆบริเวณที่เป็ยแบะให้ข้อมูลทางเพศสัมพันธ์เพิ่มเติมด้วยครับ |
Deal*****b |
4 พฤศจิกายน 2561 00:42:04 #5
หมอครับ ผมน่าจะเป็น เริม ที่อวัยวะเพศครับ แต่ก็ งง เพราะไม่เคยเที่ยว บริการ เลยครับ และไม่เคยเป็นมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกครับ เพราะมีตุ้มขึ้นที่อวัยวะเพศ อย่างเหนได้ชัดเจน จึง ขอความรู้จากทางคุณหมอว่า นอกจากกิน ยา acycloriv 400 แล้ว ยาทา แล้วสามารถทานยาตัวอื่นได้ไหมครับ ผมรู้สึกว่า ป่วยนิดๆ และ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ผมประวัติไม่เคยแพ้ยาใดๆนะครับ ออกกำลังกายเปนประจำ ตอนนี้รู้สึกปวดบริเวณปลายอวัยวะเพศ ปะสสาวะปกติครับ ไม่เจ็ป แต่รู้สึกว่าเจ็ปบริเวณตุ่มที่เกิดขึ้น ครับ ขอบพระคุณ คุณหมอเป็นอย่างสูงครับ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
4 พฤศจิกายน 2561 17:57:23 #6 เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 3-7 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไป แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง สำหรับเรื่องการติดต่อนั้นโดยทั่วไปแล้ว จะติดต่อกันได้ง่ายขณะที่มีรอยโรค เช่น ตุ่มน้ำ หรือขณะที่มีแผล อย่างไรก็ตามมีการศึกษาที่ประเทศอเมริกาพบว่า อาจพบเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งหรือเมือกบริเวณอวัยวะเพศได้แม้ไม่มีอาการแสดงของตุ่มน้ำหรือแผล เป็นไปได้ว่าอาจมีแผลที่ปากมดลูก หรือในช่องคลอดหรือในท่อปัสสาวะซึ่งไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากภายนอก ในกรณีของคุณไม่เคยเที่ยวหญิงบริการ แต่ถ้ามีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางก็ถือว่ามีความเสี่ยงเพราะคู่นอนอาจจะเคยเป็นเริมมาก่อน อย่างไรก็ตาม แนะนำหาหมอเพื่อจะได้วินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง เพราะตุ่มที่คุณเป็นอาจจะมีสาเหตุอื่นๆตามที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือส่งรูปถ่ายชัดๆมาให้ดูเพิ่มเติมครับ |
Anonymous