กระดานสุขภาพ

กังวลมากครับกลัวติดเชื้อ HIV
Ball*****7

21 สิงหาคม 2561 19:03:57 #1

ขอเล่าก่อนนะครับว่าผมมีความเสี่ยงกับผู้หญิง โดยมีการสวมถุงยางอนามัยและไม่รั่วใด ๆ ฝ่ายหญิงมีประจำเดือน แต่มีการออรัลฝ่ายหญิงทำให้ โดยที่ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย ในวันที่ 14 ส.ค. 61

แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลอก็คือ หลังจากนั้น 3 วัน ผมได้มีอาการ ปัสสาวะบ่อย มีอาการหน่วงที่ท้องน้อยเหมือนปวดปัสสาวะตลอดเวลา แล้วก็ระคายเคืองที่ปลายอวัยวะเพศ

ความกังวลที่ 1

ผมจึงคิดว่าผมน่าจะติดเชื้อหนองในจากการที่ออรัลหรือป่าว เลยทำให้ผมมีอาการดังกล่าว แต่หลังจากนั้น 5 วัน หลังมี พสพ. ผมได้ไปพบแพทย์ที่ รพ. จึงได้ตรวจปัสสาวะ และปรากฎว่าไม่ได้เป็นหนองในครับ หมอแจ้งว่า เป็นแค่ปัสสาวะอักเสบเฉย ๆ 

(ลืมบอกไปครับ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 61 ผมได้ไปเที่ยวและนั่งรถเป็นเวลานาน จึงกลั้นปัสสาวะ 2-3 ชั่วโมง แต่ผมไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม)

ความกังวลที่ 2

ขณะมี พสพ.จนเสร็จ ผมสังเกตุว่าประจำเดือนของผ่ายหญิงออกมาพอสมควร ผมได้นำกระดาษทิชชู่พันหนา ๆ เช็ดรอบถุงยางอนามัย และ นำกระดาษทิชชู่พันอีกรอบเพื่อที่จะถอดถุงยางอนามัยออก ขณะที่ถอดถุงยางอนามัยออกผมก็สังเกตุว่าไม่มีคราบเลือดประจำเดือนเปื้อนที่ปลายอวัยวะเพศแต่อย่างใด ที่เปื้อนก็จะมีบริเวณที่โคนด้านล่างและขนอวัยวะเพศเท่านั้น และนำถุงไปตรวจสอบก็ไม่มีรั่วซึมใด ๆ แต่ผมกังวลขณะที่ถอดออกเท่านั้น ซึ่งผมใช้กระดาษทิชชู่พันรอบ ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงออก (ซึ่งปลายอวัยวะเพศก็ไม่ได้เปื้อนสารคัดหลั่งอย่างใดอย่างที่กล่าวไป) 

แต่ผมก็กลัวว่าขณะที่ดึงออกนั้นผมดึงถุงยางออกโดยที่ไม่ได้รูดตรงส่วนวงแหวนขึ้นไป (ตรงกันข้ามกับตอนใส่)

แต่ก็กลัวว่าเลือดที่เปื้อนตรงวงแหวน ขณะที่รูดออก อาจจะไปสัมผัสกับส่วนปลายอวัยวะเพศหรือป่าว ? แต่ผมก็มองด้วยตาเปล่าว่าส่วนหัวอวัยเพศไม่ได้เปื้อนอะไรเลย ซึ่งความคิดผมมันจะวน ๆ อยู่อย่างงี้ครับ มันทำให้ผมจิตตก

จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ล้างด้วยน้ำสะอาดตามด้วยสบู่ ครับ

ผมได้ทบทวนและย้อนลำดับแต่ละขั้นตอนซึ่งมันก็ปลอดภัยดี ผมทบทวนความคิด และความคิดนี้ก็วนอยู่ในหัวผมตลอด ทำไมป้องกันแล้ว ตรวจหนองในไม่พบ ทำไมยังมีอาการระคายเคือง และปัสสาวะบ่อยได้ยังไง ?

รบกวนปรึกษาคุณหมอทีนะครับ ขอบคุณครับ

อายุ: 21 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 163ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

22 สิงหาคม 2561 09:28:55 #2

  • 1. อาการที่เกี่ยวกับปัสสาวะ แสดงว่าอาจจะเกิดจากระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบซึ่งแบ่งเป็น 1 ร่วมกับการมีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ น่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือกามโรค ที่พบบ่อยคือ หนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียว ได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไปครับ ส่วนหนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิด ที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือ ด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ 1-2 อาทิตย์ ในปัจจุบันมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า ในกรณีที่เป็นๆหายๆ โดยทั่วไปมักเกิดจากการไปติดเชื้อใหม่ จากคู่นอน ซึ่งในผู้หญิงไม่ค่อยมีอาการผิดปกติและไม่รู้ว่าเป็นโรค เพราะฉะนั้นต้องรักษาทั้งคู่
  • ครับ อย่างไรก็ตามพบว่าประมาณร้อยละ 50 อาจมีการติดเชื้อร่วมกัน คือเป็นทั้งหนองในแท้และเทียม ก็ต้องรักษาทั้ง 2 โรคคือ ทั้งฉีดและกิน 2 ไม่มีความเสี่ยง ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่วในไต หรือเยื่อบุอักเสบจากการร่วมเพศหรือการช่วยตัวเองที่รุนแรง เป็นต้น ในกรณีของคุณที่มีออรัลเซ็กส์โดยไม่ใช้ถุงก็อาจะเสี่ยงต่อโรคติดต่อดังกล่าวได้ถ้าฝ่ายหญิงติดเชื้อที่คอ
  • 2. มีการศึกษาถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอดส์ 1 ครั้ง จากมากไปน้อยดังนี้
  • ชายหรือหญิงเป็นฝ่ายถูกสอดใส่ทางทวารหนัก 0.5%-1.38%
  • หญิงเป็นฝ่ายถูกสอดใส่ทางช่องคลอด 0.1%
  • ชายเป็นฝ่ายสอดใส่ทางทวารหนัก 0.065%
  • ชายเป็นฝ่ายสอดใส่ช่องคลอด 0.05%
  • ชายหรือหญิงที่เป็นฝ่ายทำออรัลเซ็กส์ 0.01% ชายหรือหญิงเป็นฝ่ายถูกทำออรัลเซ็กส์ 0.005% อย่างไรก็ตามโอกาสจะเพิ่มขึ้นถ้าเป็นกามโรคหรือมีแผลด้วย ในกรณีของคุณใช้ถุงยางแต่กังวลว่าจะมีการสัมผัสกับประจำเดือน ตามที่เล่ามาถือว่าไม่เสี่ยง ส่วนการถูกทำออรัลเซ็กส์ ถ้าฝ่ายหญิงมีการติดเชื้อเอดส์ โอกาสเสี่ยงจะอยู่ที่ 0.005% สามารถยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดยการตรวจเลือด วิธีที่ตรวจได้เร็วที่สุดหลังมีความเสี่ยงคือการตรวจด้วยด้วยวิธี NAAT คือการตรวจส่วนของเชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถตรวจได้เร็วขึ้น คือประมาณ 1 อาทิตย์หลังมีความเสี่ยง แต่จะมีตรวจเฉพาะห้องแล็บใหญ่ๆและมักใช้ในงานวิจัย เนื่องจากมีราคาแพง แนะนำให้ตรวจด้วยวิธีที่ใช้กันทั่วไป คือ GEN 4 ซึ่งเป็นการตรวจแอนติเจนและแอนติบอดี สามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยงประมาณ 3-4 อาทิตย์ ถ้าผลเป็นลบ ก็แสดงว่าไม่ติดเชื้อ แต่ควรตรวจซ้ำหลังเสี่ยงครบ 3 เดือน ซึ่งถ้าผลเป็นลบ ก็ไม่ติดเชื้อเอดส์ ใช้สิทธิประกันสังคมหรือบัตรทอง ไม่ต้องเสียค่าตรวจครับ
Ball*****7

22 สิงหาคม 2561 10:10:31 #3

ขอบพระคุณ คุณหมอมาก ๆ ครับ

หายกังวลไปเยอะมากครับ

แต่ผมยังสงสัยที่ว่า ตามที่ผมเล่ามาการที่ถอดถุงยางถึงไม่มีความเสี่ยงครับ หรือว่าเชื้อไม่สามารถอยู่ภายนอกร่างกายได้ครับ ?

นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากร

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง

23 สิงหาคม 2561 17:41:14 #4

เชื้อเอดส์เมื่ออยู่นอกร่างกายจะตายอย่างรวดเร็ว จากที่คุณเล่ามา คุณถอดถุงยางได้ถูกต้อง ไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอดส์ด้วยวิธีนี้ครับ