กระดานสุขภาพ
เป็นตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศ | |
---|---|
29 ตุลาคม 2560 07:44:46 #1 เป็นตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ ปวดแสบปวดร้อน มีอาการคันร่วมด้วยนิดหน่อย มีน้ำสีขาวขุ่นเหลืองนิดๆไหลออกมาจากช่องคลอด เคยกินยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ปวดลดอักเสบ อาการเหมือนจะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายค่ะ ทรมานมาก |
|
อายุ: 24 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 40 กก. ส่วนสูง: 153ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.09 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
29 ตุลาคม 2560 19:49:59 #2 ถ้าก่อนที่จะเป็นตุ่ม คุณมีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ คือมีการร่วมเพศโดยไม่ใช้ถุงยาง ก็อาจจะเป็นโรคติดต่อ ที่พบบ่อยคือเริมซึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผลเจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรงนอกจากนี้ การที่มีตกขาวสีเขียวๆ ก็อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ เช่น หนองในหรือนองในเทียมหนองใน (แท้) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ไนซีเรีย โกโนคอคไค สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ) ที่ดีที่สุดคือยาฉีด ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเข็มเดียว ได้ผลร้อยละ 95 ขึ้นไปครับ ส่วนหนองในเทียม เกิดจากเชื้อหลายชนิด ที่พบมากคือเชื้อคลามัยเดียและมัยโคพลาสมา ที่สำคัญคือประมาณ 10 % ยังไม่ทราบสาเหตุ รักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบ)ที่ได้ผลดีคือ ด็อกซี่ซัยคลีน หรือ อิริโทรมัยซิน กินประมาณ 1-2 อาทิตย์ ในปัจจุบันมียาที่กินครั้งเดียว คือ อะซิโทรมัยซิน 1 กรัม แต่จะได้ผลน้อยกว่า แต่ถ้าคุณไม่มีความเสี่ยง อาการที่เกิดขึ้นก็อาจจะเกิดจากการอักเสบทั่วๆไปหรืออาจจะเป็นเชื้อรา โดยสรุป ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยง แนะนำหาหมอครับ |
Daw2*****3 |
30 ตุลาคม 2560 14:15:26 #3
ขอบคุณคะ ไปหาหมอเรียบร้อยแล้วคะ หมอบอกว่าเป็นเริม โดยให้ยามาทาน และมียาทาภายนอกด้วย อยากทราบว่าใช้ระยะเวลานานไหมคะกว่าจะหาย ปวดแสบทรมานมากๆคะ หากมีวิธีไหนที่พอจะช่วยลดความปวดแสบได้ รบกวนแนะนำหน่อยคะ ยิ่งตอนถูกน้ำ จะแสบมากเลยคะ ขอบคุณคะ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
31 ตุลาคม 2560 11:31:08 #4 ในกรณีที่เป็นเริม ถ้ากินยา acyclovir ครั้งละ 200 มิลลิกรัมทุก 4 ชม. หรือครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3ครั้งหลังอาหาร อาการก็น่าจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ส่วนเรื่องแสบหรือเจ็บที่แผล อาจจะช่วยโดยการใช้น้ำอุ่นชุบสำลีประคบหรือล้างบ่อยๆครับ |
Daw2*****3 |
31 ตุลาคม 2560 16:28:07 #5
ขอบคุณคะ ถ้าเกิดว่าดิฉันหายแล้ว ในอนาคตถ้ามีเพศสัมพันธ์ จะมีโอกาสเป็นอีกทันทีไหมคะ หรือต่อไปควรป้องกันอย่างไรเพื่อเลี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำอีกคะ ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณหมอให้คำแนะนำดีมากคะ
|
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
2 พฤศจิกายน 2560 18:38:31 #6 เมื่อมีการติดเชื้อเริม หลังจากเป็นคร้งแรกแล้ว ส่วนใหญ่จะมีอาการเป็นซ้ำ เนื่องจากมีเชื้อไวรัสไปแฝงตัวหรือลบอยู่อยู่ในปมประสาทที่ผิวหนัง เมื่อมีการกระตุ้นเชื้อเริมก็จะทำให้เป็นแผลใหม่ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เป็นแผล เช่นการร่วมเพศ การมีประจำเดือน ความเครียดหรือเวลาร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ แต่การเป็นซ้ำจะไม่รุนแรง สำหรับเรื่องการติดต่อนั้นโดยทั่วไปแล้ว จะติดต่อกันได้ง่ายขณะที่มีรอยโรค เช่น ตุ่มน้ำ หรือขณะที่มีแผล อย่างไรก็ตามมีการศึกษาที่ประเทศอเมริกาพบว่า อาจพบเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งหรือเมือกบริเวณอวัยวะเพศได้แม้ไม่มีอาการแสดงของตุ่มน้ำหรือแผล เป็นไปได้ว่าอาจมีแผลที่ปากมดลูก หรือในช่องคลอดหรือในท่อปัสสาวะซึ่งไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากภายนอก โดยพบประมาณ 10% ของจำนวนวัน คือใน 1 ปีอาจพบได้ 36 วัน ในขณะที่ถ้ามีรอยแผลจะพบ 21% คือ 77 วัน เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะติดเชื้อเริมจากคนที่เคยเป็นเริมมาก่อนก็เป็นไปได้แต่จะน้อยกว่าการติดเชื้อขณะที่มีตุ่มน้ำหรือแผล |
Daw2*****3