แผลที่อวัยวะเพศ ถ้าเกิดหลังจากที่มีความเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ คือเที่ยวผู้หญิงหรือมีคู่นอนหลายคนและไม่ใช้ถุงยางอนามัย โรคที่พบบ่อยคือเริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผลเจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง ส่วนโรคแผลริมอ่อนนั้น ปัจจุบันในนประเทศไทย พบได้ไม่บ่อยเป็นหลังเสี่ยง 3- 7 วัน จากเชื้อแบคทีเรีย Hemophilus ducreyi แผลลึก เจ็บ ปัจจุบันพบไม่บ่อย รักษาโดยใช้ยากิน เช่น erythromycin ครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน 7 วัน แต่ถ้าเป็นเกย์หรือรักร่วมเพศ ก็มีโอกาสเป็นแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง เกิดหลังมีความเสี่ยง 10- 90 วัน แผลจะมีขอบแข็ง ไม่เจ็บ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum รักษาโดยฉีดยา benzathine penicillin 2.4 ล้านยูนิต แต่ถ้าไม่มีควาเมสี่ยงเช่นยังไม่เคยร่วมเพศหรือเคยแต่ใช้ถุงยางทุกครั้ง ก็อาจจะเกิดจากการแพ้ยา ลองนึกดูว่าก่อนเป็นแผล คุณได้กินยาอะไรบ้าง ยาที่พบว่าแพ้บ่อย ได้แก่ ยาแก้ไข้ ยาแก้อักเสบ หรือยาชุดที่ซื้อตามร้านขายยา ซึ่งการแพ้ยาจะเริ่มต้นด้วยมีอาการคัน ตามดวยมีตุ่มน้ำพองคล้ายโดนน้ำร้อนลวก ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มพองแตกกลายเป็นแผล รักษาโดยต้องหยุดกินยาที่สงสัยว่าจะแพ้ทันที กินยาแก้แพ้ เช่น atarax ครั้งละ 10 มิลลิกรัม เช้าเย็น ใช้น้ำเกลือล้างแผลที่ซื้อตามร้านขายยาล้างแผลเช้าเย็น โดยสรุป ขึ้นกับพฤติกรรมทางเพศและลักษณะของแผล แนะนำหาหมอหรือส่งรูปถ่ายชัดๆบริเวณที่เป็นและให้ข้อมูลทางเพศสัมพันธ์เพิ่มเติมด้วยครับ