กระดานสุขภาพ
เริม และ HIV | |
---|---|
24 มกราคม 2560 08:57:14 #1 ผมมักเป็นเริมที่อวัยวะเพศบ่อย แต่ทุกครั้งที่เป็นใช้เวลาประมาณ อาทิตย์กว่าๆ ก็จะหายไปเอง มีบางครั้งที่ทานยา Aciclovir 1. ผมอยากทราบว่า เริม กับ HIV มีความสัมพันธ์กันไหมครับ แล้วการเป็นเริมบ่อย สาเหตุเกิดจากอะไรคับ หรือว่ามีเพศสัมพันธ์ กับคนที่มีเชื้อจะทำให้เป็นบ่อย เกี่ยวกันไหมครับ 2. เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมเคยมี เพศสัมพันธ์ กับแฟนเก่า ซึ่งเคยแฟนเก่าเคยรับการผ่าตัดแล้วต้องรับเลือด จาก รพ.รามา กรณีรับเลือดจาก รพ. มีความเสี่ยงในติดเชื้อ HIV ไหมครับ 3. การทานยา Aciclovir 400mg เช้า-เย็น เวลา 6 เดือน จะช่วยให้เป็นลดการกลับมาเป็นซ้ำได้ไหมครับ แล้วถ้าทานยานานๆ จะมีผลต่อร่างกายไหมครับ |
|
อายุ: 31 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 62 กก. ส่วนสูง: 170ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.45 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.อนุพงศ์ ชิตวรากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคผิวหนัง |
26 มกราคม 2560 05:25:30 #2 1. เริมเป็นสาเหตุของแผลที่อวัยวะเพศที่พบบ่อยที่สุด เกิดจาการติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อไวรัส Herpes simplex อาการจะเป็นหลังจากที่มีความเสี่ยงประมาณ 5 -10 วัน ในกรณีที่เป็นครั้งแรก จะมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มน้ำหลายๆกลุ่ม ปวดแสบปวดร้อน ตุ่มน้ำแตกเป็นแผล เจ็บและอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต ต้องรักษาโดยกินยาอะซัยโครเวียร์ (Aciclovir) ครั้งละ 200 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 เม็ด)ประมาณ 1 อาทิตย์ และเมื่อเป็นแล้ว มักเป็นๆหายๆ เพราะจะมีเชื้อไวรัส Herpes) ไปแฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทใต้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ เมื่อมีการกระตุ้น เช่นการร่วมเพศ การช่วยตัวเอง ก็จะเป็นซ้ำ โดยอาจมีอาการปวด เสียว บริเวณผิวหนังก่อนที่จะเป็นแผล แต่การเป็นซ้ำครั้งต่อๆไปจะไม่รุนแรง ส่วนเอดส์เกิดจากไวรัส HIV ซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการศึกษาพบว่าถ้าเป็นเริม จะมีโอกาสติดเชื้อเอดส์ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีประวัติเป็นเริม และถ้าเป้นทั้งเอดส์และเริม ก็จะแพร่เชื้อเอดส์ได้มากกว่าคนที่เป็นเอดส์โดยที่่ไม่ได้เป็นเริม 2. เลือดบริจาคจะมีการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ตับอักเสบ ถือว่าไม่มีความเสี่ยงครับ 3.ข้อบ่งชี้ของการกินยา acyclovir เพือ่ลดอาการหรือให้เป็นเริมน้อยครั้งลง คือ 1 เป็นมากกว่า 8ครั้งขึ้นไป 2. เป็นไม่บ่อยมากแต่ในการเป็นแต่ละครั้งมีความรุนแรง เจ็บและใช้เวลานานกว่าแผลจะหาย 3. มีภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งถ้าเป็นก็จะเป็นแบบรุนแรงและเป็นแผลเรื้อรังได้ 4. ในการเป็นแต่ละครั้ง ทำให้สภาพจิตใจผิดปกติ เช่นซึมเศร้า ต้องหยุดงาน หรือไม่สามมรถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การกินคือ กินครั้งละ 400 มิลลิกรัม เช้า เย็น ประมาณ 3 เดือนแรก ถ้าเป็นน้อยลง ก็ให้กิน ครั้งละ 200 มิลลิกรัม เช้าเย็น จนครบ 1 ปี ในระหว่างที่กิน ถ้ามีแผลเริมเกิดขึ้น ก็ให้กินเพิ่มเป็นครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งประามาณ 1 อาทิตย์ เมื่อแผลหายก็ลดลงเป็น 200 มิลลิกรัม เช้าเย็น ต่อไป ส่วนใหญ่แล้ว ยังคงมีอาการเป็นซ้ำแต่จะน้อยครั้งลง เข่น อาจจะลดเหลือ 3-4 ครั้งต่อปี เมื่อครบปีให้ลองหยุดยา ในบางคน ก็อาจจะเป็น 3-4 ครั้งต่อปี บางคนก็อาจจะเป็นบ่อย แต่จะไม่เท่าก่อนกินยา ซึ่งถ้ารู้สึกว่าพอใจ ก็หยุดกินยา และไปกินตอนเป็นแผลแต่ละครั้งแทนการกินทุกวัน ยานี้อาจจะมีผลต่อตับได้ ควรตรวจการทำงานของตับทุก 6 เดือน แนะนำปรึกษาหมอครับ |
Anonymous