กระดานสุขภาพ

ยาลดความอ้วน ท้องอืด ท้องผูก
Cons*****m

26 ธันวาคม 2560 02:07:03 #1

สวัสดีครับคุณหมอ ขอเล่าอาการให้ฟังก่อนนะคับ คือผมเริ่มกินยาลดความอ้วนยี่ห้อตัวย่อ **** มาได้ประมาน 2 สัปดาห์ครับ โดยต้องกินหลังอาหารเช้าไม่เกิน 15 นาที ตัวผมเองก็ควบคุมอาหารด้วย มื้อเช้าส่วนใหญ่กินมูสลี่ (ข้าวโอ๊ต สาลี บาร์เลย์ ถั่วต่างๆ) ผสมกับโยเกิร์ต 0% นม 0% กล้วย ไข่ต้ม (ไข่ขาว) สลับกับข้าว ต้มจืด แกงเห็ด ฯลฯ เที่ยงหรือบ่ายหน่อยๆ ส่วนใหญ่ก็กินข้าวตามสั่ง หรือเกาเหลาข้าวเปล่า โดยข้าวปริมาณ 70% ของถ้วย มื้อเย็นก็กินสลัดทูน่า ผัก ผลไม้ น้ำสลัดงาญี่ปุ่นครับ ซึ่งทุกมื้อผมถือว่าผมกินในปริมานที่ไม่ได้มากเกินหรือน้อยเกินไป รวมถึงเลี่ยงของหวาน มัน ทอด แทบทุกชนิดครับ แต่ก็กินบ้างในปริมานเล็กน้อย และของหวานที่กินส่วนมากก็เป็นผลไม้ครับ น้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมน้ำตาล หรือน้ำเชื่อมทั้งหลายไม่แตะเลย และนอนเวลาปกติครับ ประมาณห้าทุ่ม - เที่ยงคืน ตื่น 6 - 7 โมงเช้า แต่พบว่าตื่นเช้ามาอวัยวะเพศไม่แข็งตัวในตอนเช้าอย่างที่เคยเป็นตามปกติทุกวัน รวมถึงอารมณ์ทางเพศซึ่งปกติผมมีทุกวัน หลังจากกินยาตัวนี้มาได้แค่ 3 - 4 วัน ผมก็รู้สึกเฉยๆ ไปเลยครับ แม้แฟนผมจะเร้ายังไงก็ไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไหร่ อีกอาการนึงผมเครียดมากกว่าครับ คือตั้งแต่เริ่มกินยาตัวนี้มาผมมีอาการท้องอืดมาตลอดเลยครับ รู้สึกเหมือนลมในท้องเยอะ แต่จะเรอก็ไม่เรอ มวนๆ ท้อง จะผายลมก็ไม่ผาย เหมือนมันติดอะไรสักอย่าง วันนึงเรอกับผายลมนับครั้งได้เลยครับ ทีนี้ก็รู้สึกว่าท้องผูกผิดปกติ 3 - 4 วันถ่ายครั้ง แถมออกมาน้อยมากผิดปกติ และผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมกินเข้าไปตลอดหลายวันก่อนถ่ายมันไม่ใช่แค่นี้แน่นอน และอุจจาระที่ถ่ายออกมารู้สึกมีกลิ่นเหมือนน้ำมันระเหยขึ้นมาด้วยในบางวัน และฉี่บ่อยมากเนื่องจากกินยาแล้ว เขาจะให้กินน้ำเยอะๆ ระหว่างวัน ตรงนี้ผมก็กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องเกลือแร่อีกเช่นกัน ถึงแม้ปกติผมจะเป็นคนท้องผูกบ่อยเหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไป เพราะส่วนใหญ่ผมจะท้องผูกเวลานั่งรถไกลๆ ซะมากกว่าเวลาปกติ เมื่อก่อนหลังทานอาหารเช้า ซึ่งก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างตื่นสาย คือ 10 - 11 โมง แต่หลังทานมื้อแรกเสร็จสัก 15 นาที ผมก็จะถ่าย บางวันก็ตอนเย็นด้วย และสัปดาห์นึงจะเป็นแบบนี้เสมอ อย่างน้อย 4 - 5 วันต่อสัปดาห์ มันผิดปกติจนผมรู้สึกได้เลยครับ อาการเหล่านี้แฟนผมก็เป็นเช่นกันครับ แต่มีอาการเบากว่าโดยเธอไม่ได้มีอาการในเรื่องเพศแบบผม ส่วนเรื่องท้องอืด ท้องผูก พอๆกันเลยครับ เธอทานยาตัวนี้มาเหมือนกัน ก่อนหน้าผมประมานเกือบ 2 สัปดาห์ นน. ลงทั้งคู่ครับ แฟนผมลงเกือบ 4 กก. ตั้งแต่สัปดาห์แรก แต่ก็คงที่นับจากนั้น ส่วนตัวผมถึงวันนี้ลงไปแค่ 1.5 - 2 กก. ครับ ปัจจุบันผมหนักประมาณ 72.5 กก. สูง 175 อายุ 25 แฟนประมาณ 56 สูง 160 อายุ 24 ครับ สุดท้ายนี้จึงอยากขอคำปรึกษา อธิบาย หรือคุณหมอจะมีคำแนะนำยังไงบ้างครับ ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน และตอบคำถามล่วงหน้าเลยนะครับ ขอบคุณครับ
อายุ: 25 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 73 กก. ส่วนสูง: 175ซม. ดัชนีมวลกาย : 23.84 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

26 ธันวาคม 2560 18:05:59 #2

ก่อนอื่นคาดว่าอาการทั้งหมดจะมาจากการที่รับประทานยาลดน้ำหนัก แนะนำให้หยุดใช้ยานะคะ การจะลดนำหนักที่ถูกต้อง ควรเป็นการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ในส่วนการที่จะใช้ยาร่วมด้วย ควรปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

ยาลดความอ้วน/ยาลดน้ำหนัก คือ ยาที่ใช้ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนเพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโรคแทรกซ้อนอื่นๆเช่น โรคเบาหวานโรคหัวใจและหลอดเลือด นิ่วในถุงน้ำดี ภาวะไขมันผิดปกติ/โรคไขมันในเลือดสูง โรคเกาต์ ข้อเสื่อมนอนกรน รวมทั้งภาวะที่มีปัญหาทางสังคมและจิตใจ และคุณภาพชีวิตที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนเช่น ภาวะซึมเศร้า ปัญหาทางจิตประสาท ทั้งนี้ไม่ควรใช้ยาลดความอ้วนเพื่อความสวยงามเช่น ใช้ในผู้ที่ต้องการมีรูปร่างผอมทั้งๆที่ไม่ได้มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานข้อบ่งใช้ยาลดความอ้วนคือ

ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา

  • 1. ใช้ลดน้ำหนักในผู้ป่วยโรคอ้วนที่เกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป
  • 2. ใช้ลดน้ำหนัก ในผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index, BMI) มากกว่า 30 กิโลกรัม/เมตร2 ในผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใดๆ
  • หรือมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 27 กิโลกรัม/เมตร2 ในผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ/โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ

โดยแพทย์จะพิจารณาใช้ยาลดน้ำหนักเป็นวิธีการรักษาเสริมก็ต่อเมื่อผู้ป่วยควบคุมอาหาร ออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้อย่างชัดเจน

มีข้อควรระวังการใช้ยาลดความอ้วน เช่น

1. ผู้ป่วยอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหากหยุดใช้ยาลดน้ำหนัก ดังนั้นควรปรับพฤติกรรมอื่นๆโดยการคุมอาหารและมีการออกกำลังกายอย่าสม่ำเสมอเพื่อให้น้ำหนักตัวคงที่

2. ผู้ป่วยควรลดน้ำหนักได้ประมาณ 2 กิโลกรัมหลังจากได้รับการรักษาด้วยยานี้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จากนั้นอาจมีน้ำหนักลดลงหรือคงที่ตลอด 6 สัปดาห์หลังจากเริ่มรักษา ไม่ควรใช้ยาลดความอ้วนหากพบว่าผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยานี้หรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่างรับการรักษา

3. ระวังการใช้ยาลดความอ้วนในกลุ่มยา Sympathomimetic drug ในผู้ป่วยที่มีประวัติติดยาเสพ ติด ติดสุรา มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า โรคจิต โรคตับ โรคไต โรคลมชัก โรคเบาหวาน นิ่วในถุงน้ำดีต้อหินมุมเปิด มีกลุ่มอาการ Neuroleptic Malignant Syndrome (NMS) ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกหรือใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

4. ไม่ควรใช้ยา Phentermine, Phendimetrazine และ Diethylpropion ในระยะเวลานานเกิน 12 สัปดาห์เพราะอาจทำให้ติดยาได้ ในขณะที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้ยาOrlisat ในระยะยาวได้

5. หากผู้ป่วยใช้ยาลดความอ้วนในกลุ่ม Sympathomimetic drugs ควรติดตามน้ำหนักตัว ความดันโลหิต ชีพจร รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาทุกๆ 2 ถึง 4 สัปดาห์ จากนั้นติดตามผลทุกเดือนเป็นเวลา 3 เดือน และติดตามต่อทุก 3 เดือนจนครบ 1 ปีหลังจากได้รับการรักษา

6. ยา Orlistat มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาบางชนิดจึงต้องติดตามการใช้ในผู้ป่วยต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) เนื่องจาก Orlistat อาจทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเคได้น้อยลงจึงส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของ Warfarin ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดออกได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคหรือได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจาก Orlistat ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้ลงลงทำให้ผู้ป่วยมีระดับยาที่ละลายได้ดีในไขมันลดลงเช่น ยาไซโคลสปอริน(Cyclosporin)

7. ไม่ควรใช้สมุนไพรเพื่อลดน้ำหนัก/ลดความอ้วนและ/หรือใช้ร่วมกับยาลดความอ้วนเพราะยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัดถึงปริมาณในการใช้ อาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) และอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นอาจค่อนข้างรุนแรง

อาการ/ผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากการใช้ยาลดความอ้วน เช่น

1. ยา Phentermine, Phendimetrazine และ Diethylpropion อาจทำให้นอนไม่หลับ กระวนกระวายอ่อนเพลีย ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ คลื่นไส้ ท้องผูก ปากแห้ง เหงื่อออก มองภาพไม่ชัด/ตาพร่า มองเห็นสีผิดปกติ มีอาการทางจิตประสาทเช่น หูแว่ว หวาดระแวง เห็นภาพหลอน และติดยาได้

2. ยา Sibutramine ทำให้ความดันโลหิตและอัตราเร็วของชีพจรเพิ่มขึ้น ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเบื่ออาหาร

3. ยา Orlistat อาจทำให้ท้องอืด มวนท้อง ผายลม กลั้นอุจจาระไม่ได้ และมีน้ำมันปนออกมากับอุจจาระ (Steatorrhea) เนื่องจากไขมันไม่ถูกย่อยหรือดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

4. ยา Orlistat อาจทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายได้ในไขมันเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค และเบต้าแคโรทีน (Beta carotene, สารสีเหลือง/สีส้มในพืชที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย) ลดลง ดังนั้นผู้ป่วยควรรับประทานวิตามินรวมเสริมเพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามิน