กระดานสุขภาพ
ประจำเดือนไม่มา 35 วันแล้ว | |
---|---|
22 มีนาคม 2562 16:25:48 #1 สวัสดีครับคุณหมอ
หลังจากเสร็จสิ้น ผมก็เช็คด้วยการใส่น้ำทุกครั้ง ไม่มีการรั่ว ซึม ไม่แตกครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าใช้ถูกต้องดีด้วยครับ แต่ตอนนี้ประจำเดือนยังไม่มาเลยครับ ปกติผมไม่เคยจดรอบเดือนกันเลย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผมกับแฟนจดรอบ เดือนไว้ คือมาวันแรก 15 กุมพา ครับ ลองนับดูก็ 35 วันแล้ว ปกติ ไม่น่าจะนานขนาดนี้ เกิดจากสาเหตุใดได้บ้างครับ แล้วถ้าผมใช้ถุงยางอนามัยถูกต้องทุกอย่าง ตรวจเช็คดี จะมีโอกาสที่อสุจิจะหลุดเข้าไปบ้างไหมครับ โอกาสตั้งครรณ์ มากน้อยแค่ไหนครับ
ขอบคุณครับ |
|
อายุ: 26 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 166ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.60 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Sant*****_ |
22 มีนาคม 2562 16:33:41 #2 ไม่ใช่ประจำเดือนไม่มานาน 35 วันนะครับ หมายถึง ตั้งแต่ที่มาวันแรกจนตอนนี้ 22 มีนา 2562 คือ 35 วันครับ |
Sant*****_ |
24 มีนาคม 2562 13:46:28 #3
เพิ่มเติมนะครับ เมื่อวานผมมีเพศสัมพันธุ์กับแฟน แล้วตอนเสร็จ ขณะกำลังไปตรวจสอบด้วยการเติมน้ำ พบว่าไม่รั่ว แต่ข้างๆ ถึงมีรอยเลือด นิดเดียว น้อยมากๆ ครับ สีแดง ตอนแรกคิดว่าเป็น ประจำเดือน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีประจำเดือนมาเลยครับ
|
Nick*****k |
25 มีนาคม 2562 00:27:20 #4 ตอนนี้ประจำเดือนมารึยังครับ |
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์(สูติ-นรีแพทย์) |
25 มีนาคม 2562 18:23:06 #5 ถ้าคุณมีการคุมกำเนิดเป็นอย่างดีโดยการสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ มีการตรวจสอบอย่างดีว่าถุงยางไม่มีรูรั่ว ไม่มีซึม ดังนั้น โอกาสตั้งครรภ์นั้นเป็น 0 ค่ะ ไม่ควรมีการตั้งครรภ์เลย ยกเว้นคุณมีการถอดถุงยางไม่ทันหรือมีปัญหาอื่นที่อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ การที่รอบเดือนแฟนคุณไม่มาตามปกตินั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากการทำงานของรังไข่ที่ไม่ปกติ เช่น เป็นกลุ่มอาการของถุงน้ำที่รังไข่หรือมีภาวะ ไข่ไม่ตกตามปกติ เมื่อไข่ไม่ตกก็จะขาดการสร้างฮอร์โมนที่สำคัญคือโปรเจสเตอโรน มาทำให้ผนังเยื่อบุโพรงมดลูกสุขและหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน หนังเยื่อบุโพรงมดลูกจะมีความหนาตัวมากกว่าปกติ และไม่มีรอบเดือนมาได้ค่ะ ถ้ารอบเดือนขาดหายไปนานก็สามารถทานฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพื่อให้ประจำเดือนมาได้โดยทานนานประมาณ 7-10 วัน รอบเดือนก็จะมาได้ตามปกติค่ะ แต่ถ้ากังวลเรื่องการตั้งครรภ์มากก็สามารถทำการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ได้ โดยทำการตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายไปแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ ผลการตรวจนั้นจึงจะเชื่อถือได้ค่ะ |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
30 มีนาคม 2562 17:50:36 #6 หากในการมีเพศสัมพันธ์นั้น มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนสอดใส่อวัยวะเพศ ถือว่า เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพครับ ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ครับ สบายใจได้ ส่วนลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ หมอขอแนะนำการคุมกำเนิดสักนิดนะครับ หากครั้งต่อๆไปมีเพศสัมพันธ์ที่อาจมีการสอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ คือ การป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์นะครับ เช่น ถุงยางอนามัย และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน เป็นต้นครับ และ เรื่องถุงยางอนามัยที่มีปัญหานั้น โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตถุงยางอนามัยนั้น ค่อนข้างรัดกุมมากนะครับ การที่จะขาด รั่ว หรือ ปริแตกนั้นเกิดได้น้อยมากแต่หากเกิดมักเกิดจากการใช้ที่ผิดวิธีครับ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้น มีหลักการง่ายๆ ดังนี้ คือ ดูวันเดือนปีที่หมดอายุ เลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป การฉีกออกจากซองควรดันให้ถุงยางไปอีกด้านหนึ่งเสียก่อน และ ไม่ใช้กรรไกรหรือของมีคมตัด ใส่ถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยบีบปลายถุงเพื่อไล่ลมออกก่อน ซึ่งการไล่ลมจะช่วยไม่ให้ถุงยางแตกและหลุดง่ายขณะทำการสอดใส่อวัยวะเพศ ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และ ไม่ควรใช้วาสลีนมาหล่อลื่น เพราะจะทำให้ถุงยางแตกได้ง่ายขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยซ้อนกันมากกว่า 1 ชั้นชึ้นไปนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้ป้องกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ถุงยางมีโอกาสที่จะขาดและปริแตกง่ายขึ้นด้วยจากการเสียดสีกันเองของถุงยางอนามัยครับ เมื่อต้องการจะถอดถุงยางออก ควรรูดถุงยางจากส่วนโคนลงมาในช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ โดยอาจใช้ทิชชูพันรอบ และ ทำความสะอาดตามปกติครับ หากปฎิบัติตามนี้ ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยจะหลั่งในหรือนอกก็ได้นะครับ ส่วนในฝ่ายหญิงหากต้องการคุมกำเนิดด้วย หมอแนะนำให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนนะครับ ซึ่งในเรื่องของยาเม็ดคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ก็มีวิธีการใช้เหมือนกันครับ คือ เร่ิมทานเม็ดแรกของแผงภายใน 5 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก ทานช่วงเวลาไหนก็ได้ ขอให้เป็นเวลาเดิม และ เป็นเวลาที่คาดว่าจะไม่ลืมทาน ซึ่งหากเริ่มทานได้ดังนี้ ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงใดก็ได้ จะหลั่งด้านในหรือนอกก็ได้ครับ หากทานแบบ 28 เม็ด ก็ให้ทานต่อแผงไปเรื่อยๆ ซึ่งประจำเดือนจะมาช่วง 7 เม็ดสุดท้ายของแต่ละแผง ส่วนหากทานแบบ 21 เม็ด ก็ให้เว้น 7 วัน และเริ่มแผงใหม่ได้เลย โดยระหว่างที่เว้นนี้ จะเป็นช่วงที่ประจำเดือนมาครับ หากมีการลืมทาน หากลืมเพียง 1 เม็ดก็ไห้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ และหากลืมทาน 2 เม็ด ก็ไห้ทานวันที่นึกขึ้นได้พร้อมกับเม็ดที่ต้องทานในว้นนั้นๆไปรวมเป็นสองวันติดกัน แต่หากลืมทาน 2 เม็ด ในช่วงที่เลยกลางรอบเดือนไปแล้ว หรือ มากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ก็ให้คุมกำเนิดวิธีอื่นๆด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยครับ |
Sant*****_ |
31 มีนาคม 2562 19:41:31 #7 ตอบคุณ NickNick ครับ มาแล้วครับ มาเมื่อวันที่ 31 มีนาคมครับ |
Sant*****_