กระดานสุขภาพ
ต่อจากกระทู้เก่า: สิวที่ลับ | |
---|---|
4 เมษายน 2561 17:24:54 #1 ไปหาหมอสูติมาแล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าพวกสิวสามารถใช้เบตาดีนทาได้ เพื่อให้หายเร็วขึ้นค่ะ แต่คุณหมอตรวจพบว่าเป็นตกขาวติดเชื้อแบคทีเรียด้วยค่ะ เลยให้ยาทานและยาเหน็บมาค่ะ ถามสาเหตุ คุณหมอบอกว่าเป็นได้ทั้งนั้นค่ะ พอดีลืมถามคุณหมอเพิ่มเติม เพิ่งนึกได้ตอนกลับบ้านแล้ว เลยอยากรบกวนสอบถามคุณหมอแทนนะคะ 1. อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเกิดจากอะไรและต้องระวังตัวไม่ให้ติดเชื้อแบคทีเรียอีกได้ยังไงคะ ในเมื่อคุณหมอบอกว่าเป็นได้หลายสาเหตุ 2. คุณหมอทักว่ามดลูกคว่ำ แบบนี้จะมีอันตรายอะไรไหมคะ หรือมันเกิดได้อย่างไรคะ เสิรทกูเกิ้ลดู เจอว่าเพราะมีพังผืดเลยดึงมดลูกไปข้างหลัง แบบนี้จะเกี่ยวกับที่ปวดประจำเดือนมากไหมคะ หรือควรต้องพบแพทย์เพิ่ม 3. ถ้าไม่ได้ไปพบแพทย์เรื่องสิวก็คงไม่ทราบเรื่องตกขาวติดเชื้อแบคทีเรีย สมมติว่าถ้าเกิดไม่ได้ไปหาหมอ และปล่อยทิ้งไว้เพราะไม่รู้ตัว จะมีอันตรายอะไรไหมคะ ขอบคุณคุณหมอล่วงหน้าค่ะ รบกวนด้วยนะคะ (กระทู้เก่าค่ะ http://haamor.com/webboard/%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2/42659/) |
|
อายุ: 27 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 163ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
29 เมษายน 2561 17:01:30 #2 เรื่องการอักเสบของต่อมขนหรือต่อมไขมันที่คล้ายกับหัวสิวนั้นหลักการของการเกิดคล้ายกับการเกิดสิวที่ใบหน้านะครับ คือ การอุดตันของต่อมไขมัน แล้วเกิดการอักเสบ ปกติแล้วสามารถหายเองได้ หากไม่มีการติดเชื้อซ้ำครับ ส่วนเรื่องมดลูกความคว่ำหลังหรือไปด้านหลังนั้น เป็นเพียงลักษณะที่พบได้ ไม่ถือเป็นความผิดปกติ อันตรายได้ใด ซึ่งในกรณีที่อาจพบเจอได้ในผู้ที่ได้เคยได้รับการผ่าตัดหรือการอักเสบในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานมาก่อน หรือ มีภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เป็นต้นครับ ส่วนในเรื่อง การปวดประจำเดือนนั้น ปกติแล้ภาวะปวดประจำเดือนอาจเกิดขึ้นได้เป็นภาวะปกติ แต่ไม่ควรมีอาการปวดมาก จนไม่สามารถทำงานได้หรือมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจเพียงทานยาแก้ปวด ก็สามารถอาการปวดได้ แต่หากอาการปวดประจำเดือนนั้นมากขึ้น ร่วมกับมีประจำเดือนปริมาณมากขึ้น ควรต้องตรวจเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุ ของอาการปวดกับสูตินารีแพทย์ต่อไปครับ ส่วนเรื่องตกเท่านั้น ปกติแล้วตกขาวหรืสารคัดหลั่งที่มากขึ้นนั้นอาจพบได้เป็นปกติในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ หากไม่มีอาการผิดปกติใด เช่น ตกขาวสีเขียวหรือเหลือง กลิ่นเหม็น หรือปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลครับ สามารถสังเกตอาการไปได้ก่อนครับ ส่วนหากตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ งดเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ หลังเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำก็ควรเช็ดด้วยผ้าสะดาดให้แห้ง ใช้ชุดชั้นในที่บางไม่อับชื้นง่าย อาจพิจารณาเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่เลยครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ แต่หากเป็นเพียงมูกเล็กน้อย ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็อาจเป็นเพียงสารคัดหลังที่มีมากขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์นะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ ซึ่งหากไม่ได้ไปพบแพทย์ อาจเป็นเพราะอาการยังไม่มา แต่หากอาการมากขี้นจนสังเกตได้แล้วและไม่ยังไม่ได้รับการักษา อาจทำให้เกิดภาวะ ติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้ครับ |
Than*****h