กระดานสุขภาพ
สิวที่ลับค่ะ | |
---|---|
27 มีนาคม 2561 15:55:42 #1 เป็นตุ่มสิวบริเวณแคมใหญ่บ่อยมากค่ะ ซ้ายขวาเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มไม่มีหัว ผ่านไปสักพักจะเริ่มๆเจ็บตุ่มถ้าไปแตะโดน และมีอาการระคายเคืองบ้างรอบๆ หลังจากนั้นก็จะเริ่มมีหัวขาว และเริ่มแห้งหลุดไปเองค่ะ เวลาเป็นครั้งนึงเป็นเดือนเลยค่ะ ปกติก็รอเวลาให้หายเอง แต่ครั้งนี้เป็นมาจะสองเดือนแล้วค่ะ รบกวนสอบถามคุณหมอ 1.มีวิธีทำยังไงให้หายเร็วขึ้นไหมคะ และควรดูแลอย่างไร 2.การมีเพศสัมพันธ์มีผลกระทบอะไรไหมคะที่ทำให้หายช้าลง 3.เห็นพวกเวชสำอางค์ที่ล้างจุดซ่อนเร้นที่ช่วยเรื่องตกขาว อาการคัน ฯลฯ รวมถึงเซรั่มบำรุงผิวรอบจุดซ่อนเล้น ผลิตภัณฑ์พวกนี้เชื่อถือได้ไหมคะ และควรหรือไม่ควรใช้คะ ขอบคุณค่ะ |
|
อายุ: 27 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 163ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.83 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์(วว.รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์) |
27 มีนาคม 2561 19:08:42 #2 เรียนคุณ Thananich ก่อนอื่น ทางเว็บฯขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ไว้ใจเว็บ haamor.com -เพื่อให้แพทย์ผู้ตอบคำถาม สามารถให้คำแนะนำในเบื้องต้นที่เหมาะสมกับคุณได้ ขอความกรุณาคุณช่วย "ถ่ายรูปเฉพาะตำแหน่งอาการ/รอยโรค/ผื่น ของคุณ แล้วส่งมาด้วยกับคำถาม -รูปที่ส่งมา ต้องไม่สามารถระบุตัวคุณได้(เป็นจรรยาบรรณ์แพทย์) คือ ขอคุณช่วยปกปิดใบหน้า แต่ถ้ารอยโรคอยู่บนใบหน้า ให้ปกปิดตาทั้ง๒ ข้าง ถ้า รอยโรคที่ตา ให้ปกปิดตาข้างที่ปกติ (คือถ่ายรูปเฉพาะตาข้างที่มีอาการ) พญ. พวงทอง ไกรพิบูลย์ |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
28 มีนาคม 2561 10:07:53 #3 หมออาจตอบได้คร่าวๆจากการคาดเดานะครับ หากมีประวัติการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนและมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ อาจจะเป็นได้หลากหลายครับ ได้ตั้งแต่การอักเสบของต่อมขนหรือต่อมไขมันที่คล้ายกับหัวสิว อาจหากเองได้ถ้าไม่มีการติดเชื้อซ้ำไปครับ หรืออาจเป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เช่น เริม แผลริมอ่อนหรือริมแข็งก็ได้ครับ แต่หากหมอคาดเดาจากอาการอาจเป็นเพียงแต่การอักเสบของต่อมขนหรือต่อมไขมัน หรือ อาจเป็นบาร์โธลินซีสต์ (bartholin cyst) ครับ ซึ่งจะมีอาการเป็นก้อนๆนิ้ม กดเจ็บเล็กน้อย เป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น บริเวณ 5 หรือ 7 นาฬิกา และ ไม่ได้มีอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น เลือดออกผิดปกติ หรือ ตกขาวผิดปกติ แต่หากมีอาการ กดเจ็บ แดง ร้อน อาจเป็นการอักเสบหรือเป็นหนอง (bartholin abscess) ครับ ซึ่งหากมีอาการบวมมาก จนมีไข้ ปัสสาวะไม่ออก จำเป็นต้องไปพบแพทย์ทันทีครับ เพื่ออาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาลและอาจต้องระบายหนองออกด้วยครับ ซึ่งปกติแล้ว ต่อมบาร์โธลินนั้นเป็นต่อมอย่างหนึ่งมีหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งครับและอยู่ในต่ำแหน่งที่ต้องใกล้ช่องคลอดและท่อปัสสาวะคือจะทำให้ติดเชื้อซ้ำได้ง่าย ดังนั้น ช่วงนี้ควรต้องรักษาความสะอาด งดเพศสัมพันธ์ก่อนครับ ทั้งหมดนี้ เกิดจากหมดคาดเดาจากอาการข้างต้นเท่านั้นนะครับ หมอแนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องนะครับ ส่วนการสวนล้างช่องคลอดนั้น ไม่ควรล้วงหรือล้างเข้าไปนะครับ เพราะจะทำให้ความเป็นกรดด่าง เปลี่ยนไป ส่งผลให้เป็นตกขาวได้อีกครับ ควรล้างแต่ภายนอกเท่านั้นครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากอาการไม่ดีขึ้นควรมาพบแพทย์นะครับ เพราะ โรคในลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้การตรวจรอยโรคครับ |
Than*****h |
1 เมษายน 2561 06:12:01 #4 ขอบพระคุณๆหมอทั้งสองมากค่ะ ไปหาหมอสูติมาแล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าพวกสิวสามารถใช้เบตาดีนทาได้ เพื่อให้หายเร็วขึ้นค่ะ แต่คุณหมอตรวจพบว่าเป็นตกขาวติดเชื้อแบคทีเรียด้วยค่ะ เลยให้ยาทานและยาเหน็บมาค่ะ ถามสาเหตุ คุณหมอบอกว่าเป็นได้ทั้งนั้นค่ะ พอดีลืมถามคุณหมอเพิ่มเติม เพิ่งนึกได้ตอนกลับบ้านแล้ว เลยอยากรบกวนสอบถามคุณหมอแทนนะคะ 1. อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเกิดจากอะไรและต้องระวังตัวไม่ให้ติดเชื้อแบคทีเรียอีกได้ยังไงคะ ในเมื่อคุณหมอบอกว่าเป็นได้หลายสาเหตุ 2. คุณหมอทักว่ามดลูกคว่ำ แบบนี้จะมีอันตรายอะไรไหมคะ หรือมันเกิดได้อย่างไรคะ เสิรทกูเกิ้ลดู เจอว่าเพราะมีพังผืดเลยดึงมดลูกไปข้างหลัง แบบนี้จะเกี่ยวกับที่ปวดประจำเดือนมากไหมคะ หรือควรต้องพบแพทย์เพิ่ม ขอยคุณคุณหมอล่วงหน้าค่ะ |
Than*****h |
1 เมษายน 2561 08:28:18 #5 3. ถ้าไม่ได้ไปพบแพทย์เรื่องสิวก็คงไม่ทราบเรื่องตกขาวติดเชื้อแบคทีเรีย สมมติว่าถ้าเกิดไม่ได้ไปหาหมอ และปล่อยทิ้งไว้เพราะไม่รู้ตัว จะมีอันตรายอะไรไหมคะ |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
29 เมษายน 2561 17:11:23 #6 เรื่องการอักเสบของต่อมขนหรือต่อมไขมันที่คล้ายกับหัวสิวนั้นหลักการของการเกิดคล้ายกับการเกิดสิวที่ใบหน้านะครับ คือ การอุดตันของต่อมไขมัน แล้วเกิดการอักเสบ ปกติแล้วสามารถหายเองได้ หากไม่มีการติดเชื้อซ้ำครับ ส่วนเรื่องมดลูกความคว่ำหลังหรือไปด้านหลังนั้น เป็นเพียงลักษณะที่พบได้ ไม่ถือเป็นความผิดปกติ อันตรายได้ใด ซึ่งในกรณีที่อาจพบเจอได้ในผู้ที่ได้เคยได้รับการผ่าตัดหรือการอักเสบในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานมาก่อน หรือ มีภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เป็นต้นครับ ส่วนในเรื่อง การปวดประจำเดือนนั้น ปกติแล้ภาวะปวดประจำเดือนอาจเกิดขึ้นได้เป็นภาวะปกติ แต่ไม่ควรมีอาการปวดมาก จนไม่สามารถทำงานได้หรือมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจเพียงทานยาแก้ปวด ก็สามารถอาการปวดได้ แต่หากอาการปวดประจำเดือนนั้นมากขึ้น ร่วมกับมีประจำเดือนปริมาณมากขึ้น ควรต้องตรวจเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุ ของอาการปวดกับสูตินารีแพทย์ต่อไปครับ ส่วนเรื่องตกเท่านั้น ปกติแล้วตกขาวหรืสารคัดหลั่งที่มากขึ้นนั้นอาจพบได้เป็นปกติในช่วงก่อนหรือหลังมีประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ หากไม่มีอาการผิดปกติใด เช่น ตกขาวสีเขียวหรือเหลือง กลิ่นเหม็น หรือปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลครับ สามารถสังเกตอาการไปได้ก่อนครับ ส่วนหากตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ งดเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ หลังเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำก็ควรเช็ดด้วยผ้าสะดาดให้แห้ง ใช้ชุดชั้นในที่บางไม่อับชื้นง่าย อาจพิจารณาเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่เลยครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ แต่หากเป็นเพียงมูกเล็กน้อย ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ก็อาจเป็นเพียงสารคัดหลังที่มีมากขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์นะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ ซึ่งหากไม่ได้ไปพบแพทย์ อาจเป็นเพราะอาการยังไม่มา แต่หากอาการมากขี้นจนสังเกตได้แล้วและไม่ยังไม่ได้รับการักษา อาจทำให้เกิดภาวะ ติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้ครับ |
Than*****h