กระดานสุขภาพ

ยาคุมฉุกเฉิน
Anonymous

15 มกราคม 2561 01:02:32 #1

คุนหมอคะคือดิฉันกินยาคุมฉุกเฉินเมื่อวันที่12กินเม็ดแรกหลังมีเพศสัมพันเม็ดสองหลังเมดแรก12ชม. แต่ดิฉัน ไม่ได้หลั่งในนะคะแค่เอาใส่ละก็เอาออกมา คือมันก่อนไข่ตก2วันคะ แล้วคือเลือดมันออกอะคะคุนคะ ปกติแล้วปจด.ดิฉันมาประมานวันที่30 แล้วมันมาเหมือนประจำเดือนคะ ดิฉันท้องหรือเป็นผลข้างเคียงของยาหรือเปนไรรึเปล่าคะหมอ
อายุ: 20 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 59 กก. ส่วนสูง: 168ซม. ดัชนีมวลกาย : 20.90 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

16 มกราคม 2561 06:25:38 #2

การทานยาคุมฉุกเฉินต้องทานภายใน 1 ชั่วโมงหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์จะได้ผลดีที่สุด แต่อาจจะรอได้ถึง 72 ชั่วโมง การทานนั้นจะต้องทาน 1 เม็ดห่างกัน 12 ชั่วโมงจำนวน 2 เม็ด หลังทานยา อาจจะทำให้มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดและรอบเดือนถัดไปมีความคลาดเคลื่อนได้ ในกรณีที่คุณมีเพศสัมพันธ์และไม่ได้หลั่งภายใน โอกาสตั้งครรภ์จะน้อย ดังนั้น จึงไม่ควรวิตกกังวลมาก เลือดที่ออกน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการทานยาคุมฉุกเฉิน ในกรณีที่กังวลเรื่องการตั้งครรภ์มากจะต้องทำการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์เท่านั้นถึงจะตอบได้ค่ะ โดยจะต้องตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายได้แล้วประมาณ 3 สัปดาห์ถึงจะเชื่อถือได้แน่นอนค่ะ

Miss*****n

16 มกราคม 2561 08:36:07 #3

อาจจะเป็นผลข้างเคียงค่ะ บางคนมีอาการหลังกินยาคุมฉุกเฉินไม่เหมือนกัน มีเวียนหัว มีปวดท้อง อาเจียน แต่หนักสุดคือ เลือดออก เราแนะนำให้ไปหาคุณหมอเพื่อตรวจเช็คจะดีกว่าค่ะ แล้วคราวหน้าให้กินยาคุมแบบแผงแทนเถอะค่ะ เพราะอันตรายและเสี่ยงน้อยกว่า ของ Minidoz ก็ได้ค่ะ เรากินอยู่ ไม่มีผลข้างเคียงเลย

Anonymous

17 มกราคม 2561 10:33:10 #4

ขอบคุนคะ แล้วถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้วเจ็บที่อวัยวะเพศละคะ
รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์

(สูติ-นรีแพทย์)

18 มกราคม 2561 08:37:06 #5

อาการเจ็บที่อวัยวะเพศในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์อาจจะเกิดจากน้ำหล่อลื่นไม่เพียงพอช่องคลอดมีความฝืดแห้ง หรือมีการอักเสบที่บริเวณช่องคลอดควรจะต้องหาสาเหตุค่ะ ในกรณีที่คุณไม่มีอารมณ์ร่วมในการมีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดก็อาจจะแห้งอาจจะต้องใช้เจลหล่อลื่นหรือให้ฝ่ายชายเล้าโลมก่อนเพื่อให้หล่อลื่นมากเพียงพอ แต่ถ้ามีอารมณ์ร่วมแล้วยังเจ็บควรจะต้องหาสาเหตุว่ามีการอักเสบหรือการติดเชื้อภายในช่องคลอดหรือไม่ และรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป ถ้าไม่แน่ใจก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในร่วมด้วยจะดีที่สุดค่ะ