กระดานสุขภาพ
เจอตุ่มเล็กๆกดแล้วเป็นก้อนที่อวัยวะเพศค่ะ | |
---|---|
7 มกราคม 2561 02:42:41 #1 กดอ่านกระทู้อื่นแล้วไม่ตรงกันค่ะ เนื่องจากไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ไม่น่าจะใช่แบบที่เขาเป็น เป็นตุ่มเล็กๆ1ตุ่มค่ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นรอยแผลเป็นเฉยๆ แต่ไม่เคยเป็นสิวนะคะตรงนั้น เคยแค่เกาจนเป็นแผล ผ่านมาก็เกินปีนึงแล้วนะคะ พึ่งสังเกตว่าตุ่มนั้นยังไม่หาย เลยลองกดดู ปรากฏว่ามันเจ็บค่ะ เลยงงๆ แต่ก็ไม่กล้าถามใคร เลยค้นหาในหาหมอเอา แต่มันไม่ตรงกันเลยถามเองดีกว่า ประเด็นคือจะไปหาหมอเลยก็อาย เพราะมีขนในที่ลับเยอะ ไอกลัวก็กลัว รายละเอียดของตัวหนูนะคะ 1.เคยเป็นประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุ12ค่ะ เป็นครั้งแรกแล้วก็ไม่เป็นเลยอีก1ปี ถึงได้เป็นใหม่ แต่ก็มาไม่ปกติหรอกค่ะ เป็นครั้งนึง หายไปสามเดือนบ้างครึ่งปีบ้าง บางทีก็ปีนึงซ้ำอีกรอบเลค่ะ แต่ไม่เคลียดอะไร เพราะคนในบ้านก็เป็น 2.เป็นตกขาว เคยมีเมือกสีน้ำตาลออกมาด้วยค่ะ แต่เป็นไม่ถึงสัปดาห์ ปัจจุบันไม่ใส่กางเกงในมาได้หลายเดือนแล้วค่ะ เลยไม่เป็นตกขาวที่กางเกงใน การไปตรวจถ้าต้องไปควรไปที่ไหนค่ะ อยู่ภาคกลาง ใกล้กรุงเทพ ถ้าไปควรโกนขนจิมิไหมค่ะ ทำตัวไม่ถูกค่ะ ตอนนี้กำลังจะเข้ามหาลัย สาขาพยาบาลค่ะ เขามีให้ตรวจร่างกาย เขาจะตรวจด้านนี้ด้วยไหมค่ะ |
|
อายุ: 19 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 58 กก. ส่วนสูง: 162ซม. ดัชนีมวลกาย : 22.10 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
Anonymous |
7 มกราคม 2561 03:19:03 #2
มีบางกระทู้เห็นพี่เขาถ่ายรูปอวัยวะเพศลง จำเป็นต้องถ่ายลงไหมค่ะ ช่วยในการวินิจฉัยโรคไหมค่ะ
|
Haamor Admin(Admin) |
7 มกราคม 2561 20:05:25 #3 เรียนคุณ d4f78 คุณสามารถอัพรูปหรือไม่ก็ได้ค่ะ แต่กรณีที่เป็นโรคเชิงผิวหนัง เช่น เป็นตุ่ม เป็นแผล ค่อนข้างมีหลายกรณี เนื่องจากไม่เห็นภาพ ไม่ได้ตรวจร่างกาย อาจบอกได้ยากค่ะ ว่าเป็นอะไร |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
8 มกราคม 2561 08:11:57 #4 หมออาจตอบได้คร่าวๆจากการคาดเดานะครับ ซึ่งหากไม่เคยมีประวัติการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนเลย หรือ ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่การอักเสบบริเวณนี้ มักเกิดจากการอักเสบของต่อมขนหรือต่อมไขมันครับ อาจคล้ายกับหัวสิว อาจหากเองได้ถ้าไม่มีการติดเชื้อซ้ำไปครับ และก็ควรดูแลรักษาความสะอาดตามปกติครับ ไม่ให้อับชื้น เป็นต้นครับ ส่วนในเรื่องของอาการตกขาวที่มากขึ้นนั้น ปกติแล้ว ในช่วงหลังกลางรอบเดือนจนถึงก่อนจะมีประจำเดือนรอบถัดไป หรือหลัง มีเพศสัมพันธ์อาจมีสารคัดหลั่งที่มากขึ้นได้นะครับ หากไม่มีอาการผิดปกติใด เช่น ตกขาวสีเขียวหรือเหลือง กลิ่นเหม็น หรือปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลครับ สามารถสังเกตอาการไปได้ก่อนครับ ส่วนหากตกขาวนั้น หากตกขาวผิดปกติที่เป็นลักษณะสีขาวเหลือง คล้ายทิชชูเปียกหรือ นมโยเกิตร่วมด้วย และ มีอาการคันเป็นหลักนั้น จะเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ และในบางท่านอาจมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งลักษณะรอยโรคอาจเป็นผื่นสีออกชมพูหรือแดงๆ ขอบเขตชัดเจน มักเป็นสองข้างของปากช่องคลอดและผิวหนังระหว่างขาก็ได้ การรักษาหลักนั้น หากมีอาการภายในช่องคลอด ยาที่ใช้โดยทั่วไปเป็นมาตรฐานจะเป็นยาในช่ือสามัญ clotrimazole ครับ เป็นลักษณะเม็ด ใช้เหน็บช่องคลอด เป็นเวลา 7 วันนะครับ หากมีอาการภายนอกด้วย ก็อาจลองใช้ยาที่มีช่ือสามัญ clotrimazole ชนิดทา ทาก็ได้ครับ ที่สำคัญ ต้องทาบริเวณที่เป็นรอยโรค โดยเฉพาะอย่างย่ิง ที่ขอบ เพราะเชื้อราจะอยู่บริเวณนี้มากๆ และ เป็นบริเวณที่แบ่งตัว ลามต่อไปครับ ทาจนอาการดีชึ้นจนหาย และ ทาต่อประมาณ 1-2 สัปดาห์ด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น จะเป็นซ้ำได้ง่าย และในช่วงที่มีประจำเดือน อาจเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้นเพื่อลดความอับชื้นนะครับ ไม่จำเป็นต้องโกนขนบริเวณนี้นะครับ เพียงแต่ตัดให้สั่นพอนะครับ เพราะ การโกนอาจทำให้ผิวหนังถลอกและติดเชื้อซ้ำได้ครับ ส่วนหากมีลักษณะกลิ่นเหม็น หรือ คันมาก ตกขาวเป็นสีเขียวเหลืองจะเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดนะครับ ดังนั้น หมอแนะนำหากตกขาวยังคงผิดปกติอยู่ ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจภายใน หาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธีนะครับ ซึ่งสถานพยาบาลทุกที่สามารถตรวจเบื้องต้นได้ทั้งหมดนะครับ แต่หากกังวลมาก อาจมาพบสูตินรีแพทย์และไม่จำเป็นต้องตรวจภายในโดยการใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในช่องคลอดนะครับหากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน อาจตรวจภายนอกก็เพียงพอในการวินิจฉัยเบื้องต้นได้ครับ ส่วนลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ |
Anonymous |
9 มกราคม 2561 14:56:11 #5
ขอบคุณสำหรับคำปรึกษานะคะ
หลังจากที่โพสกระทู้อ่ะค่ะ สองสามวันมานี้ มันเป็นก้อนใหญ่ขึ้น เป็นไตๆอ่ะค่ะ เป็นเหมือนก้อนๆหนึ่งข้างๆอวัยวะเพศด้านนอก เหมือนคนเป็นสิวแต่ไม่มีหัวแล้วกำลังเป็นก้อนไตๆอ่ะค่ะ
ตอนนี้คิดว่าจะรอไปอีกซักพักก่อน หากไม่หายหรือก้อนๆนั้นไม่ยุบลงก็จะไปหาหมอค่ะ
ส่วนเรื่องคำแนะนำ คำวินิจฉัย หนูขอบคุณมากนะคะ เพราะถ้าถามคนในบ้าน ก็คงพูดได้ไม่หมด ไม่ก็เขินเกินกว่าจะพูด กลัวเขาให้เปิดให้ดูด้วยแหละประเด็น
เรื่องประจำเดือน เพื่อนบอกว่าระวังเป็นโรคนํานโรคนี้ แต่ส่วนตัวเองแล้ว ประจำเดือนนานๆมาทีก็โอเคค่ะ เพราะเวลามา ก็ปวดท้อง ถ้าไม่บ่งบอกถึงโรคอะไรก็คงจะไม่ไปหาค่ะ เพราะรวมๆแล้วก็นอนดึก นอนไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว
ขอบคุณนะคะ
|
Anonymous