กระดานสุขภาพ
มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ุ และตรวจมะเร็งปากมดลูกแล้ว | |
---|---|
15 พฤษภาคม 2560 07:33:41 #1 ขอรบกวนปรึกษาค่ะ เนื่องจากมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธุ์ เป็นสีแดงอ่อนๆ เริ่มแรก ไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่มีตกขาว และปัสสาวะแสบขัด ประมาณ หนึ่งสัปดาห์ จากนั้นตกขาวกลายเป็นสีชมพู คล้ายเลือด ประมาณ 1 เดือน จึงไปพบแพทย์ (งดเพศสัมพันธ์ เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นมะเร็งหรือไม่) แพทย์ทำการตรวจมะเร็งปากมดลูก ทราบผลว่าไม่เป็นมะเร็ง แต่มีการติดเชื้อ และอักเสบ และ เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และได้ทำการรักษาจนหมอแจ้งว่าอาการหายดีแล้ว ใช้เวลารักษาโดยการกินยา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ที่ 3 มีการตรวจอีกครั้งแพทย์บอกว่า หายดีแล้ว ไม่มีอาการอักเสบ ปัสสาวะแสบขัดหายไป ไม่มีอาการปวด แต่ ยังมีตกขาวอีกเพียงเล็กน้อย จึงทำการเอ็กซเรย์เพิ่ม เพื่อดูไต และลำใส้ แต่ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ สองวันหลังจากแพทย์แจ้งว่า ไม่มีปัญหาใดๆ จึงมีเพศสัมพันธ์ แต่ พบว่า มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งๆที่ ตอนที่กินยาในสัปดาห์แรก (วันที่สาม) เลือดได้หายไปแล้ว เหลือเพียงตกขาว เล็กน้อยเท้านั้น อยากรบกวนปรึกษาว่าควรทำอย่างไรดี เพราะตอนนี้ เดินทางมาทำงานที่ ต่างจังหวัด ไม่สามารถกลับไปพบแพทย์คนเดิมได้ ขอบคุณค่ะ ปล, ยาที่ได้รับคือ Clindamycin 300 mg และ Ofloxcin ค่ะ
|
|
อายุ: 35 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 54 กก. ส่วนสูง: 150ซม. ดัชนีมวลกาย : 24.00 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
นพ.เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล(สูติ-นรีแพทย์) |
17 พฤษภาคม 2560 10:19:35 #2 จากที่กล่าวมา น่าจะมีการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ โดยยาที่ได้รับนั้น ไม่มีผลต่อรอบประจำเดือนนะครับ ส่วนเรื่องเลือดที่ออกหลังมีเพศสัมพันธ์นั้น มักเกิดจากความผิดปกติบริเวณปากมดลูกหรือช่องทางคลอดครับ อาจเป็นรอยโรคที่บริเวณปากมดลูก เช่น ต่ิงเนื้อ (polyp) ปากมดลูกมีเนื้อเยื่อผิดปกติ เป็นต้นครับ ดังนั้น ควรมาตรวจภายในกับสูตินรีแพทย์นะครับ เพื่อจะได้หาสาเหตุครับ ซึ่งหากตรวจโดยสูตินรีแพทย์แล้วและไม่มีรอบโรคจากบริเวณช่องคลอดหรือปากมดลูก ก็อาจเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ ครับ ซึ่งลักษณะประจำเดือนที่ผิดปกติ มาไม่เป็นรอบหรือไม่สม่ำเสมอ หรือ ระยะห่างระหว่างรอบไม่สม่ำเสมอนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้มักเกิดจากมีสาเหตุบางประการที่ทำให้มีทำให้ไข่ไม่ตก หรือ ตกไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่เป็นเวลา นอนดึกติดต่อกัน น้ำหนักเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรือ กำลังลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแบบหักโหมมากเกินไป ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ พร่องออร์โมน ทานยาหรือสารบางอย่างที่ออกฤทธ์คล้ายออร์โมน เช่น ยาสตรีต่างๆ ยาขับเลือด หรือ เดินทางบ่อย เปลี่ยนแปลงสถานที่หรือการดำเนินขีวิต เป็นต้นครับ หากสาเหตุต่างๆนี้หายไปหรือดีขึ้น อาการประจำเดือนก็จะกลับมาปกติ แต่หากไม่ได้มีสาเหตุอย่างที่หมอกล่าวไป และ รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาไม่เป็นรอบ หรือ ขาดหายไปนานเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ก็ควรมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุจะดีกว่าครับ ไม่ควรไปทานยาอะไรก็ตามที่ต้องการให้มีเลือดประจำเดือนออกมาหรือเป็นการขับเลือดนะครับ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้หากเป็นกลุ่มที่เป็นฮอร์โมน นอกจะไม่ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นรอบดี ยังส่งผลต่อทำให้ประจำเดือนผิดปกติ อาจมามาก มากะปริดกะปรอย หรือ ขาดหายไปนาน และไม่มาตามรอบนะครับ |
Anonymous |
20 พฤษภาคม 2560 09:21:53 #3
ขอบคุณค่ะ คุณหมอ
|
Anonymous |
22 พฤษภาคม 2560 08:32:37 #4
ขอบคุณค่ะ คุณหมอ
|
Anonymous