กระดานสุขภาพ

ปัญหาในที่ทำงาน ..
Pais*****6

13 สิงหาคม 2556 08:02:35 #1

 ตั้งแต่เด็กจนโตไม่งอแงอยากได้โน้นนี้ (พ่อแม่ยากจน) ที่พ่อแม่หาให้ไม่ได้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุรี่ ไม่เที่ยว ชอบทำงานเก็บเงิน ประหยัด อยากได้อะไรเก็บเงินซื้อเอง   เคยถามทำใมพ่อแม่ชอบบอกว่าเราไม่ดีไม่ดีตรงใหน  ก.พูดกับพ่อแม่ไม่เพราะหรือก็เปล่า ข.เวลาพ่อแม่ไม่สบายไม่เหลียวแลหรือก็เปล่า  ค.ไม่ค่อยมีเงินจน ไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง (แม่ต้องตอบข้อนี้สิอย่าตอบ ง.) ง.ถูกทุกข้อ  ตั้งแต่นี้หนูอยากให้แม่บอกว่าหนูจน ไม่มีเงิน ไม่อยากให้บอกว่าหนูไม่ดี มันครอบคลุมเกินไป

     และนี้แหละคือปัญหาใหญ่ คือไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ดิฉันเป็นคนหางานง่าย แล้วก็ออกงานง่ายเช่นกัน ดิฉันมีความอดทนกับคนอื่นต่ำมาก   ถึงแม้ว่าจะมีเพื่อนแต่ลึกแล้วอยากอยู่คนเดียว ชอบการอยู่คนเดียว เบื่อรำคาญ ไม่ฃอบทะเลาะกับคนอื่น ยอมคนอื่น แต่มันก็ยอมใครไม่ได้นานเดี่ยวก็ระเบิด ดิฉันเป็นลูกคนเดียว ที่ไม่มีใครเอาใจ ลองสังเกตตัวเองดู เราจะปิด๊ง่ายเวลาที่ใครมาโยนความผิดให้เรา จะให้เรายอมรับเรายอมไม่ได้แต่ก็ไม่อยากทะเลาะด้วย อยากจะทำงานแบบสามัคคีกัน สบายใจดี แต่สังคมการทำงานมันก็มีทุกที่ แล้วเราก็ทนไม่ได้

อย่างครั้งนี้สดๆเพิ่งลาออกมาตะกี้ ถูกเพื่อนร่วมงานป้ายความผิดให้ อธิบายเหตุผลไปเค้าสู้ไม่ได้ เค้าก็มาวนเวียนพยายามหาข้อเสียเราให้ได้ หนักสุด ทำงานเราพังแล้วเอาไปเสนอหัวหน้า บอกว่าเราทำงานไม่ดี แต่หัวหน้าบอกว่า ลักษณะงานแบบนี้มีคนทำพัง คือเค้าไม่ยอมรับความผิดของเค้า อย่างน้อยๆที่เค้าทำผิดก็เพราะเราเป็นสาเหตุ มันไม่เกี่ยวกันเลย เค้าจะวนเวียนบอกใครต่อใครว่าเราผิด แล้วก็หัวเราะไปหัวเราะมา ยิ่งไม่มีใครเชื่อเค้า เค้าก็วนเวียนมาหาเรื่องอย่างนั้นคือดิฉันต้องผิดให้ได้ไม่งั้นไม่เลิก ดิฉันรำคาญเค้ามากเลยลาออก มันดูเป็นเหตุผลที่เล็กเกินไป แต่ทนไม่ได้   พอเราลาออกแม่ก็ว่าเราอีก

นอกจากใช้ความอดทนแล้วเรามีวิธีปรับตัวอย่างไรบางค่ะ คนนิสัยแบบดิฉัน ต้องปรับอย่างไรตรงใหนบ้างค่ะ

 

 

 

อายุ: 35 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 77 กก. ส่วนสูง: 167ซม. ดัชนีมวลกาย : 27.61 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

14 สิงหาคม 2556 05:06:43 #2

คุณกำลังตอบโต้คนอื่นด้วย "การเล่นงานตัวเอง" โดยหวังจะให้ "พวกเขาได้รับความอับอายและเจ็บปวด" กับสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปกับคุณ แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คุณต่างหากที่เสียหายและเจ็บปวด โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้

ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้วกระมังครับ

"เราจะปรี๊ดง่ายเวลาที่ใครมาโยนความผิดให้เรา จะให้เรายอมรับเรายอมไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากทะเลาะด้วย"
นี่คือสิ่งที่สะท้อนความรู้สึก "อะไรก็กู กูไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยหรือไร" ที่อยู่ในใจคุณตลอดมา มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณตั้งแต่เด็กๆ เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดและฝังใจ ความรู้สึกนี้สั่นคลอนความภาคภูมิใจในตัวเองของคุณอย่างรุนแรง และทำให้คุณเกิดคำถามอยู่ในใจลึกๆ ว่า "หรือฉันมันไม่ดีจริงๆ" อยู่ตลอด

ด้วยเหตุนี้เมื่อมีใครทำอะไรที่ไปสะกิดคำถาม "หรือฉันมันไม่ดีจริงๆ" เข้าคราวใด คุณจึงปรี๊ดแตกได้ง่ายๆ เพราะมันไปย้ำเตือนถึงความเจ็บปวดที่คุณพยายามลืม แล้วคุณก็จะตอบโต้ด้วย "การเล่นงานตัวเอง" นั่นก็คือการลาออกจากงาน โดยคิดว่าวิธีนี้จะทำให้พวกเขาเสียหายและอับอาย เพราะพวกเขากำลัง "ทำร้ายคนที่มีฝีมืออย่างคุณ"

คุณกำลัง "ติดกับ" อยู่กับอดีตที่เจ็บปวด เพราะคุณรู้สึกว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มองว่าคุณมีดี
ความรู้สึกนี้มันทำให้คุณตีความต่อว่า "พ่อแม่ไม่รักฉัน"
ด้วยความน้อยใจ คุณก็จะตอบโต้ท่านด้วยการประชดว่า "ใช่ก็หนูมันคนไม่มีอะไรดีนี่"
ความรู้สึกและวิธีการที่คุณใช้ตอบโต้พ่อแม่นั้น ตอนนี้คุณกำลังนำมาใช้กับชีวิตการทำงานของคุณ

คุณอาจจะโชคร้าย ที่พ่อแม่ใช้วิธีที่ดูเหมือนไม่อบอุ่นเอาซะเลยในการอบรมสั่งสอนคุณ จนทำให้คุณรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก
แต่ถ้ามองอีกมุม มันก็เป็นความปรารถนาดีของท่านที่อยากให้ลูกเป็นคนที่ "มีดีติดตัว"(ตามความเข้าใจของท่าน) บังเอิญว่าวิธีที่ท่านใช้มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้คุณ โดยที่ท่านเองก็ไม่รู้ตัว
สิ่งที่ท่านทำลงไปจึงเป็นความปรารถนาดีที่เกิดจาก "ความรักลูก" ไม่ใช่เพราะ "ความเกลียดชังลูก"

ถึงเวลาที่จะให้อภัยท่านได้หรือยังครับ

การที่คุณหางานใหม่ได้ง่ายๆ มันเป็นข้อบ่งชี้ว่า "คุณมีดี" ในตัวคุณเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่พอใครตั้งคำถามในผลงานของคุณ(ซึ่งเป็นเรื่องปรกติในการทำงานของทุกองค์กร) มันดันไปสะกิดปม "ฉันไม่มีอะไรดี พ่อแม่จึงไม่รักฉัน" ที่คุณพยายามลืมมาตลอด คุณก็เลย "ปรี๊ด"

นั่นคือปมในอดีตครับ ตอนนี้คุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

Pais*****6

14 สิงหาคม 2556 09:29:05 #3

อื่ม..ถ้าเป็นหมอดู ดิฉันคงตอบว่า แม่นมาก เพราะเพิ่งทะเลาะกับแม่มาสดๆเมื่อเช้านี้เอง แม่ว่า "มิงมันนรกส่งมาเกิด" ดิฉันพูดตอบโต้แค่ไม่กี่คำ โดยมาก ก็พูดว่า "ใช่ก็หนูมันคนไม่มีอะไรดีนี่" ที่บอกว่าหางานง่ายเพราะ ดิฉันไม่เลือกงาน และคิดว่า ไม่เลือกงานไม่ยากจน แต่คงจะยากจนเพราะออกจากงานบ่อย....วันที่ดิฉันเขียนใบลาออก ดิฉันน่าจะดีใจที่ตัวเองไปพ้นจากที่นั่นได้สักทีแต่  เรากลับเศร้า อยากร้องให้ ไปประกันสังคม เค้าลิตรายนามบริษัทที่เคยไปทำมาให้ฟัง สะท้อนใจ ไม่มีที่ใหนที่ทำงานได้นาน  นานสุดๆแล้ว 3 ปี ตลอด3ปี โดนหัวหน้าด่า ติเตียนสารพัด จนเราท้อ เคยไปพูดกับหัวหน้าตรงๆ ให้ย้ายเราไปซะ แล้วหาคนที่ดีกว่าเถอะ แต่หัวหน้าไม่ย้ายเราไปใหนและก็ทำตัวเหมือนเดิม เหมือนขังเราไว้ให้อยู่กับความทุกข์  เราไม่อยากถูกขัง แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องแทน ไม่อยากพูดกับใครไม่อยากเจอใคร เวลาเล่าให้พ่อแม่ฟัง "เรามันเข้ากับคนอื่นไม่ได้"  "ใครด่าใครติอะไรไม่ได้ "  ผิดอีก ไม่อยากโดนด่าตลอดชีวิตแล้วบอกว่ารัก ไม่ชอบซาดิส.....

เราจะบอกพ่อบอกแม่อย่างไงให้เบาลงบาง

ความอดทนกับความเก็บกดต่างกันตรงใหนค่ะ

พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ใหม่ .....จะเป็นแบบเดิมหรือเปล่าหนอ.........

นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

15 สิงหาคม 2556 04:42:23 #4

ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ ไม่มีใครอยากโดนตำหนิหรอก เพราะ "มันเจ็บ" ใครไม่เคยโดนไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บยังไง การระบายความอัดอั้นตันใจออกมา(โดยไม่ต้องไปด่าใคร) ช่วยให้ใจเราโล่งขึ้น ระบายออกมาเถอะครับ

และเมื่อใจมันโล่งขึ้นลองกลับมาทบทวนสิ่งที่เขาติเตียนดูอีกที บางทีสิ่งที่เขา "ติเตียนสารพัด" มันอาจมีอะไรดีๆ อยู่ก็ได้ เราอาจมีข้อบกพร่องตามที่เขาว่าจริงๆ แต่ตอนนั้นมัน "ปรี๊ด" เสียแล้ว เลยมองไม่เห็นข้อดีๆ ที่ซ่อนอยู่ โลกนี้ไม่มีใครเปอร์เฟ็คร้อยเปอร์เซ็นต์ การที่คนอื่นเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นจุดอ่อนของตัวเอง มันช่วยให้เรารู้ตัวและสามารถหาทางแก้ไขจุดอ่อนของเราได้ครับ

แต่คุณเป็นคนที่ค่อนข้างไวกับคำตำหนิ ต้องเตือนตัวเองให้ได้ในข้อนี้ เพราะมันเป็นจุดที่จะทำให้คุณ "ปรี๊ด" และปฏิเสธข้อแนะนำทั้งหลายของคนอื่นโดยทันที การเตือนตัวเอง การนึกถึงเจตนาในทางบวกของคนที่ตำหนิเรา จะช่วยให้คุณรับฟังคำตำหนิจากคนอื่นได้มากขึ้นครับ

อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือ "ค้นหาข้อดีของตัวเอง และจดบันทึกเอาไว้" แล้วอ่านมันบ่อยๆ พยายามหาทางพัฒนาข้อดีของตัวเองให้มันแข็งแรงมากขึ้น คนเราเติบโตจากข้อดีครับ และมันยังเป็นกำลังใจให้เราสู้กับชีวิตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย คราวนี้ผมเห็นข้อดีของคุณเพิ่มขึ้นอีกข้อครับ นั่นคือ "คุณไม่เลือกงาน" คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตคือคนหนักเอาเบาสู้ครับ

ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยมองข้อดีของตัวเองเลย

พรุ่งนี้จะเจออะไรที่ร้ายๆ อีกไหมหนอที่คุณรำพึงออกมา ผมว่าอย่าไปกังวลกับมันเลยครับ เพราะไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้หรอก แต่ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแหละครับ ทางออกก็คือเผชิญหน้ากับมันด้วยความมั่นคงและมีสติ ทำทุกอย่างเต็มความสามารถที่มีอยู่

ในเรื่องที่คุณกังวลว่าจะบอกพ่อกับแม่ให้เบาๆ ลงได้อย่างไรนั้น ผมเสนอทางออก 2 ประการครับ

  1. ลองมองว่านั่นไม่ใช่คำตำหนิ แต่เป็นความหวังดี แต่บังเอิญว่าวิธีแสดงความหวังดีของท่านทั้งสองเป็นวิธีที่คุณไม่แฮปปี้เอาซะเลย ปล่อยท่านเถอะครับ คนเราไม่มีใครเปอร์เฟ็คเต็มร้อยครับ การไปต่อล้อต่อเถียงรังแต่จะเกิดการปะทะทางอารมณ์ตามมา
  2. แต่คุณสามารถบอกท่านได้ว่า คุณรู้ว่าท่านหวังดีแต่วิธีแบบนี้มันทำให้คุณเจ็บ น้อยใจ คุณอยากได้สิ่งที่เป็นกำลังใจจากท่านบ้าง

ลองพิจารณาสิ่งที่ผมเล่ามาดูนะครับ ผมจะยังไม่ตอบคำถามเรื่องอดทนกับเก็บกด เพราะอยากให้คุณได้พิจารณาประเด็นเหล่านี้เสียก่อน

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร

Pais*****6

21 สิงหาคม 2556 11:25:28 #5

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ....ลองนำไปใช้ดู

ส่วนเรื่องความอดทนกับเก็บกดนั้น ....คือมักมีคนบอกเราว่าเราต้องมีความอดทน แต่ความอดทนของคนเราบางครั้งมีจำกัดถ้าเรามองอะไรในด้านดี...ลองหาข้อดีของมัน ก็คงไม่ต้องเก็บกด หรืออดทนอย่างมาก..ใช่หรือเปล่าค่ะ

 

นพ. อุดม เพชรสังหาร

(จิตแพทย์)

22 สิงหาคม 2556 03:54:42 #6

"อดทน" และ "เก็บกด" ต่างกันตรงที่สภาวะของ "ความคิด" และ "อารมณ์" ที่อยู่เบื้องหลังครับ
"อดทน" มักจะไม่มีอารมณ์หรือความคิดที่หนักๆ เข้ามายุ่ง แต่ "เก็บกด" มันจะมี "ความคิด" และ "อารมณ์" บางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ

ในกรณีของคุณ คุณกำลัง "กด" ความคิดที่ว่า "ตัวเองไม่มีดี" เอาไว้ เพราะความคิดนี้มันทำให้คุณรู้สึกแย่
เมื่อใดก็ตามที่มีใครมาสะกิดความคิดนี้ให้โผล่ขึ้นมา คุณจึงโกรธและตอบโต้ด้วยการประชดทั้งด้วยคำพูด(ใช่ก็หนูมันไม่ดี) และการกระทำ(ลาออกจากงาน)

การแก้ปมนี้คงไม่ใช่ว่าจะเก็บกดไว้หรือปล่อยมันออกมาดี แต่ต้องไปที่การมองตัวเองใหม่ว่า "ฉันก็มีดีเหมือนกัน" เพราะถ้าคุณมองตัวเองด้วยมุมมองใหม่นี้ได้ คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องทนหรือเก็บกดอีกต่อไป

 

นายแพทย์อุดม เพชรสังหาร