ขอแยกเป็นเรื่อง ๆนะครับ

1. ไม่ทราบว่า Warfarin คุณรับประทานเองหรือครับ เพราะเห็นสอบถามเกี่ยวกับโรคข้อเสื่อม ชรา ใช้ warfarin ในข้อบ่งชี้โรคใดครับ ยา warfarin เป็นยาละลายลิ่มเลือด ช่วยให้เลือดแข็งตัวช้า เพื่อป้องกันลิ่มเลือดอุดตันที่สมองหรือหัวใจ หรือหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน

- ถ้ารับประทานยา Arcoxia เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมมาก่อน ได้รับยา warfarin แพทย์จะค่อย ๆปรับระดับยา warfarin ให้ได้ระดับ INR ที่ต้องการ ทั่วไป ประมาณ 2-3 แต่ถ้าผู้ป่วยสูงอายุมาก หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกง่าย เช่น มีปัญหาเพิ่งผ่าตัด หรือกำลังเป็นแผลในทางเดินอาหาร อาจปรับใ้ห้น้อยกว่า 2 ได้ครับ

- หากรับประทานยา Warfarin มาก่อน แล้วกำลังรักษาโรคข้อเสื่อม ด้วยยา Arcoxia แพทย์อาจต้องปรับลดขนาด warfarin เนื่องจาก Arcoxia มีผลทำให้ INR สูงขึ้นประมาณ 10-15% มีโอกาสเสี่ยงเลือดออกมากขึ้น

ผู้ป่วยที่่ได้รับยา warfarin ไม่ควรซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรับประทานเอง โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจาก warfarin เป็นยาที่ได้ผลดี ราคาไม่แพง มีการใช้ทางคลินิกมานาน แต่มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา/อาหาร หรือที่เรียกว่า "ยาตีกัน" ได้มาก

2. อาการไม่พึงประสงค์ของ Arcoxia ที่พบได้มาก คือ

- เรื่องผลต่อทางเดินอาหาร เช่น แสบท้อง ปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้

- ผลต่อไต มีผลลดการขับน้ำออกจากร่างกาย มักจะทำให้บวม โดยเฉพาะข้อเท้า หรือ หลังเท้า หากมีอาการบวม กดแล้วบุ๋มนาน ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ อาจช่วยได้โดยการลดอาหารเค็ม

- แต่ถ้ามีอาการหน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวม มีอาการคล้ายคัดแน่นจมูก ควรหยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์

เนื่องจากเสี่ยงต่ออาการแพ้ยา อาจทำให้หลอดลมบวม ระบบหายใจขัดข้อง จนอาจช็อคเสียชีวิตได้

3. กลูโคซามีน - กลูโคซามีนจะถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารขนาดโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีโอไกลแคน, ไกลโคโปรตีน (glycoprotein), ไกลโคสามิโนไกลแคน (glycosaminoglycan), กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) สารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อเกือบทุกชนิดของร่างกาย โดยจะพบได้มากที่กระดูกอ่อน (cartilage)ซึ่งจะอยู่ที่บริเวณส่วนปลายของกระดูกโดยเฉพาะที่ข้อต่อ กระดูกอ่อนนั้นประกอบด้วยเมทริกซ์ของเส้นใยคอลลาเจนที่มีโปรตีโอไกลแคนอยู่ภายใน โดยโปรตีโอไกลแคนเป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่มีความสามารถในการดึงน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ดี จึงทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ ซึ่งจัดเป็นบทบาทสำคัญของกลูโคซามีนในเรื่องการทำงานของข้อ

ยานี้ใช้สำหรับ

• รักษาโรคข้อเสื่อม (osteoarthritis)
  
  
• ช่วยเสริมการสร้างน้ำเลี้ยงไขข้อ

วิธีการใช้ยา

รับประทาน ก่อนอาหารประมาณ 15 นาที ระยะเวลาที่ใช้ยา ที่มีการทดลองใช้ คือ รับประทานติดต่อกัน 6 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน แล้วเว้น 2 เดือน จึงเริ่มต้นรับประทานคอร์สต่อไป ในบ้านเรามีการขึ้นทะเบียน 2 แบบ คือ เป็นยาเพื่อการรักษา กับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

- หากเป็นยาต้องมีผลการทดลองทางคลินิกมารองรับ มีความเคร่งครัดในเรื่องของวัตถุดิบ การผลิต การละลาย
มากกว่าชนิดที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

- แต่ละชนิดก็มีเกลือแตกต่างกัน เช่น เกลือซัลเฟต เกลือไฮโดรคลอไรด์

- มีส่วนผสมของเกลือโซเดียม หรือเกลือโปแตสเซียม

ข้อควรระวัง

• ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้ยานี้ร่วมกับ aspirin ยาในกลุ่มป้องกันการเกิดลิ่มเลือด (anticoagulants) เช่น warfarin heparin ยาในกลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด (antiplatelet drugs) เช่น clopidogrel และยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen หรือ naproxen เป็นต้น
  
  
• ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากมีรายงานว่าทำให้ลดการหลั่งอินสุลิน
  
  
• ควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ไอโอดีนหรือสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก เช่น ปู กุ้งทะเล เป็นต้น
  
  
• ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์และให้หญิงให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่มากเพียงพอ

อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา

1. อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ควรไปพบแพทย์ทันที มีดังนี้ อาการแพ้ เช่น ผื่นที่ผิวหนัง ผื่นคันหรือลมพิษ หน้าบวม ปากบวม คอบวม หรือลิ้นบวม จับหืด
   
   
2. อาการอันไม่พึงประสงค์อื่น ๆที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา มีดังนี้ ท้องผูก ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง แน่นท้อง ปวดศีรษะ ง่วงซึม

จากทั้งหมดนี้จึงทำใ้ห้มีความแตกต่างหลากหลายในเรื่องผลิตภัณฑ์นี้นะครับ ทั้งในเรื่องของวัตถุดิบ เป็นเกลือที่ละลายน้ำง่าย อยู่ในรูปแบบ microcrystalize (ทำให้อนุภาคเล็กลง เพื่อเสริมการละลาย) ถ้าเกลือโซเดียมก็ต้องระวังเรื่องบวมน้ำ ต้องระวังในผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูง เกลือโปแตสเซียม ต้องระวังในผู้ป่วยภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ

สุดท้ายหากจะรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ควรนำยาทั้งหมดไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อปรับให้เข้ากับภาวะร่างกายของผู้ป่วยทั้งภาวะตับ ไต ระบบเลือด

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

ขอบคุณ ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล เภสัชกร ครับ

1. ยาไม่ได้ใช้กับตัวผมเองครับ ผมถามให้กับ ย่าผม 

-ใช้ Warfarin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ป่วย ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ ใช้มาตั้งแต่ปี 2540 

- ค่า INR ต่ำกว่า 2 คุณหมอ สั่งเพิ่มยา ปรับยา

2. ย่า มีอาการเดินช้า เหมือนปวดเข่า แต่ตรวจเข่า X-Ray ก็ยังไม่ถึงขั้นมาก แต่ด้วยน้ำหนักตัว 94 kg. ทำให้ เดินลำบาก ดูเหมือนเจ็บมาก 

- เคยให้ยา Acroxia 60 mg. วันเว้นวัน อาการดีขึ้น เดินได้ไกล และไม่บ่นเลย

แต่รู้สึกว่า หน้าบวม ในช่วงเช้า ผมก็กลัวว่าจะมีผลต่อยา ตัวอื่น เลยให้หยุดยาไป

3.กลูโคซามีน ทานมาได้ 5-6 เดือน

   หลังจากตรวจร่างกายรอบหลัง พบว่าน้ำตาลขึ้นมา อยู่เกินเกณฑ์ 130-140 ประมาณ 2-3 ครั้ง 

ปกติ ย่า เป็นคน เคี้ยวหมาก แต่ หยุดมาได้ สัก 6-7 เดือน 

และตรวจร่างกายมาไม่มี โรคเบาหวาน  โรคความดัน ไขมัน เป็นปกติ แต่ช่วงหลัง มีความดัน กับ น้ำตาล สูงขึ้น หมอเริ่มจ่ายยา ความดัน และเบาหวาน แต่หมอที่จ่าย ไม่ทราบว่าทาน กลูโคซามีน เพราะหมอกระดูกจ่ายให้

อย่างนี้ ต้องหยุดยา กลูโคซามีน หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

เรียน คุณ uknetth2012

ขออนุญาตแจ้งว่าหากคุณประสงค์ดีกับคุณย่าคุณจริง ๆ ต้องปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างถูกต้องและเคร่งครัด

เนื่องจากยานี้มีประสิทธิภาพที่ดี เป็นยาที่มีประสบการณ์การใช้มานาน และราคาเหมาะสม
คำแนะนำแรกที่ขอย้ำอีกครั้งนะครับ คือ

ไม่ควรซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆมาใช้เอง โดยที่ยังไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

Arcoxia เป็นยาที่มีการใช้ค่อนข้างบ่อย เนื่องจากผู้ป่วยรู้สึกว่าเป็นยารุ่นใหม่ ไม่ต้องระวังอาการไม่พึงประสงค์ด้านระคายเคืองอาหารซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งหมด เนื่องจากระยะหลัง ๆนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับรายงานอาการเลือดออกในทางเดินอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลต่อการทำงานของไต ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการบวมน้ำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากหากมีอาการบวมน้ำมาก ๆ หัวใจต้องทำงานบีบเลือดให้ไหลเวียนมากขึ้นซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

Arcoxia ยังมีผลทำให้ค่า INR เพิ่มขึ้น หากคุณให้คุณย่าคุณรับประทานยาสลับไปมา จะทำให้ INR ไม่สม่ำเสมอ หากเป็นวันที่ต้องไปตรวจค่า INR จะทำให้แพทย์แปลผลผิดไปได้ หาก INR สูงจาก Arcoxia แต่ต่อมาคุณหยุดให้ยา Arcoxia ค่า INR ก็จะลดลงจนเป็นสาเหตุให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ แต่ในทางกลับกัน INR ต่ำ จากวันที่ไม่ได้รับยา เมื่อแพทย์เพิ่มขนาดยา Warfarin จะทำให้ INR สูงเกินกว่าแผนการรักษา อาจเกิดเลือดออกได้ง่าย หรือเป็นก้อนเลือดออกใต้ผิวหนังได้

ส่วน Glucosamine หากจะรับประทานยาต่อ ต้องแจ้งให้แพทย์อายุรกรรมได้ทราบด้วย ซึ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลเดียวกัน ก็จะทราบประวัติการใช้ยาของแพทย์ท่านอื่น หรือ หากพบแพทย์ต่างโรงพยาบาล กรุณานำยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งหมดที่รับประทานอยู่ไปพบแพทย์อายุรกรรมที่รักษาโรคหัวใจและความดัน เพื่อพิจารณารายการยาซ้ำซ้อนหรือยาตีกัน

Glucosamine มีเกลือ 2 ประเภท ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว คือ เกลือโซเดียม (ซึ่งควรระวังในผู้ป่วยหัวใจและความดันโลหิตสูง) ส่วนเกลือโปแตสเซียม หากสูงเกิน อาจทำให้เกิดภาวะใจสั่น หรือ หัวใจเต้นช้าลงได้

ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ที่ไ้ด้ช่วยคุณหมอดูแลผู้ป่วยที่โคม่า เนื่องจากภาวะิลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด ซึ่งปกติผู้ป่วยได้รับยาวาร์ฟารินปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ค่า INR. 2-3 ตามที่แพทย์ได้วางแผนการรักษาร่วมกับผู้ป่วยและญาติ

หลังจากที่มีญาติกลับมาจากต่างประเทศได้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาให้รับประทาน ณ วันที่รับเข้าโรงพยาบาล เจาะวัดค่า INR เหลือประมาณ 1 เมื่อนำมาวิเคราะห์ดูแล้ว พบว่าส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นสารสกัดจากพืช เช่น Spirulina และ คลอโรฟิลล์ จึงได้แจ้งญาติให้ทราบว่าสารสกัดทั้ง 2 นี้มีวิตามิน เคสูงมาก ทำให้ INR. ต่ำลงจนไม่สามารถป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้

เสียดายที่คุณหมอไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ เนื่องจากขาดอากาศหายใจมาค่อนข้างนาน

เป็นกำลังใจให้ครับ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

ขอบคุณครับ เภสัชกร 

ยา Acroxia คุณหมอกระดูกเป็นผู้จ่ายให้ ครับ และให้ทาน กูโคซามีน ไปตลอด (เฉพาะกูลโคซามีน)

โรคหัวใจ รักษา รพ เดียวกันครับ