เรียน คุณ 68061

โดยหลักการรับประทานยาคุมกำเนิด ควรรับประทานยาคุมกำเนิดหลังจากยาหมดแล้ว 7 วันครับ

โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าประจำเดือนจะมามากหรือน้อย จะหมดแล้วหรือไม่ แต่หากเริ่มต้นช้าไป ให้ปฏิบัติเหมือนกับการลืมไป 1 วัน โดยให้รับประทานยาตอนกลางคืนตามปกติ 1 เม็ด และเสริมด้วยมื้อเช้าอีก 1 เม็ด จากนั้นรับประทานยาตอนกลางคืนตามปกติจนครบ 21 เม็ด เช่น หากต้องรับประทานยาคืนวันที่ 27 มกราคม แต่รับประทานยาวันที่ 28 มกราคม เช้าวันที่ 29 มกราคม ให้รับประทานเพิ่ม 1 เม็ด และกลางคืนก่อนเข้านอนอีก 1 เม็ด จากนั้นให้รับประทานยาต่อจนครบแผง แต่เนื่องจากเลยช่วงเวลาที่จะปฏิบัติดังกล่าวได้ ก็ให้รับประทานยาคุมฯตามปกติ ก่อนเข้านอนทุกคืน ๆละ 1 เม็ดจนกว่าจะครบแผง ส่วนจะตั้งครรภ์หรือไม่นั้น หากยังอยู่ในช่วงที่ยังมีประจำเดือนอยู่ ก็ยังคงไม่มีไข่ตก โอกาสตั้งครรภ์น่าจะน้อยมากครับ

ขอแนะนำเพิ่มเติมสองประการนะครับ หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน วิธีการสวมถุงยางอนามัยจะเหมาะสมและปลอดภัยกับคุณมากกว่า นอกจากช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน ไวรัสเริม โรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี หรือโชคร้ายสุดคือไวรัสเอชไอวี ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวีที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่หรือมะเร็งองคชาติในเพศชายได้อีกด้วย และคุณไม่จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น หรือหากคุณสะดวกกับการรับประทานยาคุมกำเนิด ควรปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง

- ควรรับประทานยาให้ถูกต้องและสม่ำเสมอทุกคืน เวลาคลาดเคลื่อนไม่ควรเกิน +/- 1 ชั่วโมง
เนื่องจากอาจลืมรับประทานยา และหากระดับยาในเลือดไม่สม่ำเสมอตลอดวัน ก็อาจทำให้เกิดเนื้อเยื่อโพรงมดลูกฉีกขาดก่อนกำหนด จนเกิดเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างเดือนได้ จากข้อมูลหากลืมรับประทานยาเกิน 2 วัน อัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์จะใกล้เคียงกับสตรีที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด

- รับประทานยาด้วยน้ำเปล่าสะอาดเท่านั้น เนื่องจากเครื่องดื่มบางขนิดจะทำให้ตัวยาตกตะกอน ร่างกายไม่สามารถดูดซึมยาได้ เช่น ชา (รวมถึงชาเขียว) กาแฟ โกโก้ นม (รวมถึงโยเกิร์ต) น้ำเต้าหู้ น้ำอัดลม โซดา เป็นต้น หรือบางชนิดห้ามแม้กระทั่งน้ำแร่ (ยาป้องกันกระดูกพรุน ยาปฏิชีวนะบางชนิด) หรือน้ำผลไม้บางชนิดจะกระตุ้นให้ตับที่เป็นแหล่งในการกำจัดยา สร้างเอนไซม์หรือน้ำย่อยมากขึ้น ทำให้ยาหลายชนิดถูกกำจัดออกจากร่างกายได้มากและเร็วขึ้น หรือยาบางชนิดเปลี่ยนไปเป็นตัวยาที่เป็นพิษได้มากและเร็วขึ้น จนเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น น้ำส้มคั้น น้ำเกรปฟรุต น้ำแอปเปิ้ล น้ำแครนเบอร์รี่ เป็นต้น

- ไม่ซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆมาใช้ร่วมกันก่อนที่จะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน "ยาตีกัน" จนทำให้ระดับยาในเลือดลดต่ำลง ไม่สามารถคุมกำเนิดได้ หรือยาที่ใช้รักษาโรคไม่ได้ผล เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

และหากคุณมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับยา แนะนำให้สอบถามได้จากเภสัชกรร้านยาใกล้บ้านทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ เนื่องจากอาจข้าไม่ทันการ เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรืออาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่
http://haamor.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C/

http://haamor.com/th/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94/