เรียน คุณ 13be8,

กรณีมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น

- อาเจียน ถ้าหลังจากรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเสริมนะครับ เนื่องจากร่างกายจะดูดซึมตัวยาได้เกือบหมดแล้ว แต่ถ้าน้อยกว่า 30 นาที แนะนำให้รับประทานยาเสริม เนื่องจากร่างกายยังไม่ทันดูดซึมได้

- ท้องเสีย ถ้านานเกินกว่า 2-3 ชั่วโมง ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเสริมนะครับ

ขอแนะนำเพิ่มเติม ตัวยาคุมฉุกเฉินนี้ทางการแพทย์ จะเลือกใช้ต่อเมื่อไม่สามารถวางแผนในการคุมกำเนิดได้ เช่น เมือ่ถูกข่มขืน หรือ ถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึม (จากการใช้งานไม่ถูกต้อง เช่น เลือกผิดขนาด การสวมใส่ไม่ถูกวิธี การเก็บรักษาไม่ถูกต้อง ฯ) เนื่องจากมีอัตราเสี่ียงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูงมากกว่าชนิดปกติ (คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับชนิดปกติ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์) และตัวยานี้มีปริมาณฮอร์โมนเพศค่อนข้างสูง คือ 1500 ไมโครกรัม เทียบกับ ชนิดปกติ 50-75 ไมโครกรัม

จากข้อมูลของบริษัทยา คือไม่ควรรับประทานเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียชีิวตจากการตกเลือดในช่องท้อง เหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่จากข้อมูลการศึกษาย้อนหลังพบว่า สตรีที่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆมากกว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ หรือไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดมาก่อน โดยที่พบได้มากกว่า คือ มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ หรือมะเร็งตับ เป็นต้น

ดังนั้นหากคุณยังไม่ได้แต่งงาน ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การเลือกใช้วิธีการสวมถุงยางอนามัยจะสะดวกและเหมาะสมมากกว่านะครับ นอกจากช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริ่ม ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี/ซี หรือโชคร้ายสุด คือไวรัสเอชไอวี ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง หรือหูดหงอนไก่ / มะเร็งองคชาติในเพศชายครับ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แล้วเป็นไรไหมครับ กินไปตามที่เขียนไว้ข้างต้น 

เรียน คุณ 13be8,

ดังที่ได้แจ้งไปแล้ว ว่าไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาเสริมอีก 1 เม็ด ดังนั้น จึงเป็นการได้รับยาเกินขนาดโดยไม่มีความจำเป็น ดังนั้นใน 1 เดือนนี้ห้ามรับประทานยาเพิ่มเติมเข้าไปอีก เนื่องจากอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก เสี่ยงต่อการเสียชีิวตจากการตกเลือดในช่องท้อง หรือหากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย และมีความมั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ อาจให้รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติ ซึ่งจะมีระดับฮอร์โมนน้อยกว่า และอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยกว่า คือ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ หากรับประทานยาได้อย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล