เรียน คุณ 4bbb0,

หากคุณมีการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยหลักการแล้วโอกาสเสี่ยงในการต้ั้งครรภ์จะอยู่ในช่วง 8-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีการหลั่งนอก ก็จะลดจำนวนและโอกาสที่ตัวอสุจิจะไปพบกับไข่ ในกรณีของคุณหากยังไม่ได้แต่งงาน แนะนำวิธีการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งจะเหมาะสมมากกว่า เพราะช่วยในการคุมกำเนิดแล้วยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บีและซี หรือโชคร้ายสุดคือ เอชไอวี ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV - human Papilloma Virus) ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิง และหูดหงอนไก่/มะเร็งองคชาติในเพศชาย แต่ถ้าหากไม่สะดวกในการใช้ถุงยางอนามัย และจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ อาจใช้วิธีการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติ เพื่อช่วยคุมกำเนิด ซึ่งจะมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ และมีปริมาณฮอร์โมนเพศในยาคุมกำเนิดน้อยกว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินมาก (ชนิดปกติ 50-75 ไมโครกรัม ยาคุมฉุกเฉิน 1,500 ไมโครกรัม)

ข้อจำกัดของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คือ ห้ามรับประทานเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งมักเป็นที่ท่อนำไข่ที่มีขนาดเล็กและบาง อาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตจากการตกเลือดในช่องท้องได้ นอกจากนี้สตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน "มากเกินกว่า 3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆมากกว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ หรือไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดมาก่อน ที่พบได้บ่อย คือ มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ หรือมะเร็งตับ เป็นต้น

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่ การคุมกำเนิด (Contraception) แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์