กระดานสุขภาพ

เกี่ยวกับยาคุม
Anonymous

1 พฤษภาคม 2558 04:38:32 #1

คือดิฉันทานยาคุมเมอซิลอน 28 ตอนนี้เพิ่งเริ่มกินเป็นแผงแรกค่ะ อยากทราบว่า ถ้าสมมติประจำเดือนมาในระหว่างที่กินเม็ดแป้งโดยที่ยังกินเม็ดแป้งไม่หมด ดิฉันจะต้องเริ่มกินแผงที่ 2 ในวันที่ประจำเดือนมาวันแรกหรือป่าวคะ หรือต้องกินให้ครบทั้ง 28 เม็ดคะ แล้วอยากทราบว่าถ้ากินยาคุมแล้ว จะสามารถหลั่งในไดหรือป่าวคะ ถ้าหลั่งในแล้วจะท้องมั้ยคะ
อายุ: 22 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 48 กก. ส่วนสูง: 159ซม. ดัชนีมวลกาย : 18.99 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Anonymous

1 พฤษภาคม 2558 04:48:19 #2

อีก 1 เรื่องค่ะ คือยาคุมเมอซิลอน 28 ทุกเม็ดมีปริมาณยาเท่ากันมั้ยคะ
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

3 พฤษภาคม 2558 13:41:53 #3

เรียน คุณ 46c9e,

การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด 21+7 เม็ดนั้น ในแผงแรกให้เริ่มรับประทานส่วนที่เป็นเม็ดยาภายในวันแรกที่มีประจำเดือน เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้มีไข่ตกได้ตั้งแต่รับประทานยาเม็ดแรกครบ 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ให้รับประทานยาติดต่อกันทุกวันจนหมด 21 เม็ด ส่วน 7 เม็ดที่เหลือนั้นจะเป็นเม็ดวิตามิน ช่วยป้องกันการลืมรับประทานยาได้อีกด้วย เมื่อรับประทานยาเม็ดแป้งครบ 7 เม็ด แล้ว จึงค่อยเริ่มรัรบประทานยาเม็ดแรกของแผงต่อไป

ทั้งนี้ในช่วง 7 วัน หากประจำเดือนหมดก่อน หรือยังไม่หมด เมื่อครบ 7 วัน ไม่ต้องสนใจนะครับ ให้รับประทานยาแผงต่อไปได้เลยครับ การรับประทานยาคุมกำเนิดที่ถูกต้องนั้น

- ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ เวลาคลาดเคลื่อน +/- ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับยาในเลือดสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน ป้องกันการเกิดเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างเดือน (เนื่องจากฮอร์โมนไม่สมำ่เสมอ) หรือป้องกันการลืมรับประทานยา

- ไม่ควรลืมรับประทานยา เนื่องจากตัวยาออกฤทธิ์ชนิดเม็ดต่อเม็ด การลืมรับประทานยาเกิน 2 วัน จะทำให้อัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์เท่ากับสตรีที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน

- รับประทานยา "ทุกชนิด" ด้วยน้ำเปล่าสะอาดเท่านั้น เนื่องจากเครื่องดื่มบางชนิดจะทำให้ตัวยาตกตะกอน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมตัวยาได้ เช่น ชา ชาเขียว กาแฟ โกโก้ นม น้ำเต้าหู้ (รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมหรือน้ำเต้าหู้) น้ำอัดลม โซดา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น หรือน้ำผลไม้บางชนิด จะกระตุ้นให้ตับสร้างเอนไซม์หรือน้ำย่อยที่ใช้ในการกำจัดยาเพิ่มขึ้น ทำให้ทำลายตัวยาได้มากและเร็วขึ้น เช่น น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล น้ำเกรปฟรุต หรือน้ำแครนเบอร์รี เป็นต้น

- ห้ามซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆมาใช้ร่วมกัน หากยังไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา หรือ ที่เรียกว่า "ยาตีกัน" จนทำให้ตัวยาคุมกำเนิดด้อยประสิทธิภาพลง จนเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ หรือยาที่ใช้รักษาไม่ได้ผล ทำให้เสี่ยงต่อการรักษาไม่ได้ผล จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ทั้งนี้หากปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง รับประทานยาสม่ำเสมอ ตัวยาจะมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางอนาม้ัยร่วมด้วย ยกเว้นว่าต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกประโยชน์หนึ่ง
ขอแนะนำเพิ่มเติม ก่อนเริ่มต้นการใช้ยาใด ๆกรุณาศึกษาข้อมูลให้เข้าใจ ชัดเจน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการใช้ยาสูงสุด และเกิดอันตรายจากการใช้ยาน้อยที่สุด ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา สามารถสอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกรร้านยาใกล้บ้านได้ทันที ไม่ควรรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ ซึ่งอาจช้าไม่ทันการ และเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา (สูตินรีแพทย์)

Anonymous

4 พฤษภาคม 2558 18:59:24 #4

ขอบคุณมากค่ะ แล้วยา 21 เม็ดนั้นอยากทราบว่าปริมาณยาทุกตัวเท่ากันมั้ยคะ คือถ้าเราจะแกะยาใส่กล่องไว้จะเป็นอะไรหรือป่าว ...และคือดิฉันเริ่มกินยาคุมตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาแต่ก่อนหน้านั้นวันที่ 13 ดิฉันมีเพศสัมพันธ์แล้วกินยาคุมฉุกเฉินไป แล้วก็เริ่มกินยาคุมเมอซิลอนวันแรกที่ประจำเดือนมาคือวันที่ 20 เมษา แล้วก็กินมาเรื่อยๆจนวันที่ 30 ประจำเดือนเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและเป็นเหมือนขลุยๆ จนวันนี้ก็ยังไม่หายเลยค่ะ แบบนี้จะเป็นไรไหมคะ ช่วยตอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

5 พฤษภาคม 2558 16:44:45 #5

เรียน คุณ 46c9e,

ขอตอบเป็นข้อ ๆนะครับ

  1. ยาทั้งหมด 21 เม็ด มีปริมาณยาเท่ากันทุกเม็ดครับ สามารถรับประทานยาเม็ดไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่เม็ดแป้ง 7 เม็ด แต่การที่รับประทานยาตามวันจะช่วยเตือนความจำ ทำให้ทราบว่าวันไหนรับประทานยาไปแล้วหรือไม่ เนื่องจากหากลืมจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้
  2. ยาคุมกำเนิดมีการเคลือบน้ำตาล เพื่อช่วยป้องกันแสงจากภายนอกที่จะทำลายให้ยาเสื่อมสภาพได้ การแกะเม็ดยาไว้นอกแผง จะทำให้เสี่ยงต่อความร้อน ความชื้น และแสงแดด ซึ่งจะกระตุ้นทำให้ยาเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรแกะยาออกจากแผงไว้เป็นเวลานาน
  3. จากข้อมูลที่คุณให้มานั้น เลือดที่มาหลังจากการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะไม่ใช่เลือดประจำเดือนตามปกติ เนื่องจากกลไกของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะ 1. ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ 2. ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ได้มาผสมกับตัวอสุจิ 3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว จนตัวอ่อน (หากมีการผสมระหว่างไข่กับตัวอสุจิ) มาฝังตัวและเจริญเป็นทารกได้ เมื่อหมดฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัว ฉีกขาดและหลุดลอก จึงทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเลือดประจำเดือน แต่ประจำเดือนตามปกติจะมาหลังจากเลือดออกไปประมาณ 7-14 วัน ดังนั้นเลือดที่ยังคงมีอยู่จะเป็นช่วงที่ต่อเนื่องระหว่างเลือดที่เกิดจากยาคุมกำเนิดฉุกเฉินและต่อเนื่องด้วยเลือดประจำเดือนปกติ

ส่วนที่เปลี่ยนสี และเป็นขุยนั้น อาจเกิดจากเป็นช่วงปลายของเลือดประจำเดือน ร่วมกับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด "M...." ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกเริ่มหนาตัว และมดลูกบีบตัวน้อยลง จึงทำให้เลือดประจำเดือนมีสภาพผิดปกติไป ให้สังเกตว่าหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดหมดแผงแล้ว ประจำเดือนมาตามปกติหรือไม่ ยังคงมีอาการเช่นเดิมหรือไม่ หากยังคงมีอาการ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ขอแนะนำเพิ่มเติม ก่อนเริ่มต้นการใช้ยาใด ๆต้องศึกษาและอ่านฉลากให้เข้าใจชัดเจน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือหากยังมีข้อสงสัย สามารถสอบถามจากเภสัชกรโรงพยาบาลหรือเภสัชกรร้านยาได้ทันที ไม่ควรเริ่มต้นใช้ยาเองโดยไม่มีการอ่านให้เข้าใจ เนื่องจากบางครั้งอาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรง และไม่สามารถแก้ไขได้

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในทางการแพทย์จะใช้ต่อเมื่อไม่สามารถใช้การคุมกำเนิดตามปกติได้เท่านั้น เช่น เมือ่ถูกข่มขืน หรือเมื่อถุงยางอนามัยฉีกขาด รั่วซึม ซึ่งเกิดได้ยากมาก ถ้าเพียงแต่เลือกใช้อย่างถูกต้องตามขนาด สวมใส่อย่างถูกวิธี ใช้เจลหล่อลื่นสูตรน้ำเท่านั้น ไม่ควรใช้แทนการคุมกำเนิดตามปกติ เนื่องจากยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนสูงมาก เมื่อเทียบกับฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดปกติ คือ 1500 ไมโครกรัม เทียบกับ 50-75 ไมโครกรัม
ข้อมูลจากบริษัทยา คือ ห้ามใช้เกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากตกเลือด เหตุตั้งครรภ์นอกมดลูก จากกลไกในข้อ 2 ที่ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวช้าลง

แต่จากการศึกษาวิจัยเก็บข้อมูลย้อนหลัง พบว่า สตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากเกินกว่า 3 ครั้ง ตลอดชีวิต มีอัตราเสี่ยงสูงมากหลายเท่าในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆ เมื่อเทียบกับสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ หรือไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดมาก่อน เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก/รังไข่ มะเร็งตับ ฯ เป็นต้น

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล