กระดานสุขภาพ
ติดเชื้อเอชโพโลไล ช่วยตอบหน่อยค่ะกลุ้มใจมาก | |
---|---|
16 เมษายน 2558 02:42:09 #1 ติดเชื้อเอชโพโลไล ในกระเพาะ ได้ยาลดกรดและยาปฏิชีวะนะ 2ตัว ชื่อยา*และ* ทานได้7วันแล้ว เหลืออีก7วันแต่ทำไมท้องถึงร้องบ่อยจังทั้งที่เพิ่งทานอาหารร้องโครกคราก เรอบ่อย กลางคืนมีอาการเหมือนกับอาหารติดอยู่ลำคอ ผิดปกติหรือปล่าวค่ะ หรือว่า ทานยาไม่ได้ผล เพราะทานช้า07:00 เย็น17:30 ไม่ได้นับ12ชม ควรปรับเวลาใหม่ไหม. ถ้าปรับปรับได้เลยหาค่ะ ยาที่ทานหลังอาหารควรเว้น15นาทีไหมค่ะกลัวเว้นแล้วลืม และยาลดกรดแบบน้ำอย่าง**ทานตอนกลางคืนได้ไหมค่ะ ขอบคุณค่ะ
|
|
อายุ: 33 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 57 กก. ส่วนสูง: 173ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.05 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
20 เมษายน 2558 04:08:53 #2 Dear Khun 3b3c2, จากข้อมูลที่คุณให้มานั้น การรักษาโรคแผลในทางเดินอาหารชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อ (H. pylori) นั้นจะต้องประกอบด้วยตัวยาลดการสร้างกรดส่วนเกิน (ที่ไม่ใช่ยาลดกรดเคลือบกระเพาะธรรมดาทั่วไป) ร่วมกับยาปฏิชีวนะ 2 ตัว คือ amoxycillin 1 กรัม +clarithromycin 500 มิลลิกรัม ทั้งหมดรับประทานควบคู่กันวันละ 2 ครั้ง ควรเป็นขณะท้องว่าง (ก่อนอาหารประมาณ 30-60 นาที) แต่หากไม่สะดวก ตัวยาปฏิชีวนะ สามารถรับประทานยาเป็นหลังอาหารได้ โดยควรเลือกเวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น ห่างกัน 10-12 ชั่วโมง หลังรับประทานยาควรดื่มน้ำสะอาดตามมาก ๆเพื่อช่วยในการละลายของตัวยา และการกำจัดตัวยาออกทางปัสสาวะ รับประทานยาติดต่อกัน 7-14 วัน จากนั้นแพทย์จะประเมินอาการของโรคอีกครั้ง หากเป็นซ้ำหรือการรับประทานยาครั้งก่อนหน้าไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้เชื้อดื้อยา อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนชนิดของยาปฏิชีวนะเป็นชนิดใหม่ เพื่อการรักษาที่หายขาด - การรับประทานยาปฏิชีวนะขนาดสูง อาจทำลายเชื้อประจำถิ่น (Normal Flora) ชนิดที่เป็นเชื้อดีภายในลำไส้ไปด้วย จึงเป็นสาเหตุให้มักมีอาการท้องร้องโครกคราก มีลมในท้องมาก หากไม่มีข้อห้ามจากแพทย์ แนะนำให้รับประทาน/ดื่ม โยเกิร์ตชนิดเชื้อเป็น (ไม่ใช่แบบกล่อง UHT ที่ผ่านความร้อน เป็นการปรุงแต่งด้วยน้ำผลไม้) เพื่อเพิ่มปริมาณเชื้อดีในทางเดินอาหารเพื่อป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น โรคท้องเดิน เป็นต้น - การรับประทานยา จากการแจ้งข้างต้น คือตามทฤษฎีควรเว้นห่างกันประมาณ 10-12 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยายังคงระดับอยู่สม่ำเสมอไปตลอดวัน จะได้ยับยั้งไม่ให้เชื้อมีการเจริญเติบโตขึ้นได้อีก แต่หากไม่สะดวก ในช่วงเวลาที่คุณแจ้งมาก็ยังอยู่ในเกณฑ์นะครับ ส่วนยายับยั้งการสร้างกรดส่วนเกินควรรับประทานก่อนอาหาร 30 นาที เนื่องจากตัวยาไวต่อน้ำย่อยในทางเดินอาหาร การรับประทานยาใกล้มื้ออาหาร อาจทำให้ตัวยาถูกทำลายได้เร็วและยังมีอาหารเป็นตัวป้องกันการดูดซึม ระดับยาจะยิ่งลดน้อยลง ยกเว้นยาปฏิชีวนะ อาจรับประทานได้ตั้งแต่หลังอาหารทันทีถึง 30 นาที เนื่องจากอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึม และยังช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้อีกด้วย - กลางคืนที่มีอาการเหมือนอาหารติดอยู่ที่ลำคอ สันนิษฐานได้ 2 สาเหตุ คือ 1. การดื่มน้ำน้อยหลังจากรับประทานยาชนิดแคปซูลที่่มักจะติดอยู่ที่หลอดอาหาร ทำให้เหมือนกลืนแล้วติด ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำสะอาดตามมาก ๆ หลังจากรับประทานยาดังกล่าว หรือ 2. เป็นอาการเริ่มต้นของโรคกรดไหลย้อน ที่มักเป็นร่วมกับโรคกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารอักเสบ ที่มีภาวะหย่อนของหูรูดหลอดอาหารร่วมด้วย ทำให้เมื่อกระเพาะบีบตัวจะทำให้มีกรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาจนทำให้หลอดอาหารเป็นแผล เกิดการระคายเคือง จนรู้สึกเหมือนมีอาหารติดอยู่ ข้อนี้ต้องมีการปรับพฤติกรรมสุขภาพ คือมื้อเย็นไม่รับประทานอาหารหนักเกินไป จนอาจทำให้ย่อยได้ไม่หมด งดนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมช่วงบ่ายหรือเย็น เนื่องจากอาจย่อยไม่หมด ต้องรับประทานอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารได้ถูกย่อยไปหมดก่อนหน้าแล้ว - ยาน้ำที่คุณสอบถามมานั้น G.... ถ้าเป็นชนิดตัวยาเดี่ยว ไม่ใช่ dual action สามารถรับประทานร่วมกับยารักษาแผลในทางเดินอาหารชนิดติดเชื้อ H. pylori ได้ โดยเป็นตัวยาป้องกันการเกิดกรดไหลย้อน โดยออกฤทธิ์เป็นชั้นโฟมหนาลอยอยู่ที่ชั้นบนสุดของหลอดอาหาร วิธีการรับประทานยาที่ดีที่สุดคือต้องรับประทานยานี้หลังจากอาหารและเครื่องดื่มอื่นใด เนื่องจากหากมีการรับประทานยาหรืออาหารหรือดื่มน้ำ จะทำให้ชั้นโฟมของตัวยาทะลุ กลไกการออกฤทธิ์กันกรดไหลย้อน ก็จะไม่ได้ผล เสียตัวยาไปเปล่า ๆ สรุปนอกเหนือจากการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนและถูกต้องแล้ว ยังต้องมีการปรับพฤติกรรมสุขภาพอื่น ๆร่วมด้วย เช่น - การรับประทานอาหารให้ตรงเวลา รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารหมัก ดอง เนื่องจากอาจเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อได้ (เชื้อมักที่จะเจริญเติบโตในภาวะเป็นกรด) หลังรับประทานอาหาร ควรมีการเดินช้า ๆ เพื่อให้ลำไส้ได้มีการเคลื่อนไหว จะช่วยเรื่องการย่อยอาหารได้ด้วย ไม่รับประทานอาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง - พยายามไม่เครียด ทั้งจากเรื่องงาน การอดอาหาร หรือภาวะเครียดอื่น ๆเช่น การนอนดึก อดนอน จะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารสเตียรอยด์ออกจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารบางลง มีการสร้างน้ำย่อยเพิ่มขึ้น มีการเก็บเกลือกลับ (บวมน้ำ) ดึงน้ำตาลเพิ่มขึ้น (เบาหวาน) เซลล์ผิวหนังและเซลล์สมองเหี่ยว/ฝ่อ ทำให้แก่เร็ว สมองไม่สดใส - ออกกำลังกาย เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย การปฏิบัติตนดังกล่าว จะช่วยให้คุณอยู่ห่างไกลจากการติดเชื้อซ้ำได้ ครั้งต่อไปหากจำเป็นต้องใช้ยา กรุณาสอบถามข้อมูลให้ชัดเจนจากแพทย์หรือเภสัชกรนะครับ เพื่อการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย เนื่องจากในบางครั้งการรอคำตอบจากทางหน้าเว็บ ซึ่งไม่มีประวัติเจ็บป่วย หรือข้อมูลโรคแทรกซ้อนอื่น ๆอาจให้คำตอบที่ช้า ไม่ทันการ หรือไม่ตรงกับอาการของโรคของคุณได้ เป็นกำลังใจให้ครับ |
Anonymous