เรียน คุณ Pqpqpq1234,

ณ ตอนนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมคือ ถ้าโดยรวมเวลาตั้งแต่มีเพศสัมพันธ์แล้ว จนถึงได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ทั้งหมดรวมแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดไม่น่าแตกต่างกันมากนะครับ คือโอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์ประมาณ 8-15 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ยิ่งทิ้งเวลานาน โอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์ก็จะเพิ่มขึ้นครับ
โดยพบว่าหากโดยรวมแล้วเวลาเกิน 72 ชั่วโมง โอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์จะใกล้เคียงกับสตรีที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ

ขอแนะนำเพิ่มเติม จากข้อมูลส่วนบุคคล หากคุณยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดปกติ เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนเพศค่อนข้างสูง คือ 1500 ไมโครกรัม เมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดปกติ มีประมาณ 50-75 ไมโครกรัม และมีอัตราเสี่ยงในการตั้งครรภ์ค่อนข้างสูง คือ 8-15 เปอร์เซ็นต์ ทางการแพทย์มีข้อบ่งใช้ คือเมื่อถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยฉีกขาดรั่วซึม

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีข้อจำกัดคือ ห้ามใช้เกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์นอกมดลูก เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการตกเลือดในช่องท้อง นอกจากนี้ยังพบว่าสตรีที่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆ ทั้งเต้านม มดลูก รังไข่ หรือมะเร็งตับ ฯ กรณีคุณถ้ายังไม่ได้แต่งงาน แนะนำการสวมถุงยางอนามัย เพื่อช่วยคุมกำเนิดและยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน เริม ไวรัสตับอักเสบ บีหรือ ซี หรือโชคร้ายสุดคือ เอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไวรัส เอชพีวี (HPV - Human Papilloma Virus) ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งองคชาติ หูดหงอนไก่ในเพศชาย

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่ การคุมกำเนิด (Contraception) แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา