กระดานสุขภาพ

ทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แล้วประจำเดือนมาถี่ผิดปรกติ (เป็นเดือนแรก)
Anonymous

1 ตุลาคม 2557 17:48:28 #1

วันที่ 31 สิงหาคม 2557 ผมได้มีเพศสัมพันธ์กับแฟนโดยใส่ถุงยาง และผมตรวจดูเหมือนถุงยางมีลักษณะจะรั่ว ผมจึงให้แฟนทานยาคุมฉุกเฉิน และต่อมาอีก 6 วันในวันที่ 6 กันยายน 2557 แฟนผมได้มีเลือดออก (ตรงนี้ผมเข้าใจได้เป็นผลของยา) ต่อมาอีก 2 สัปดาห์ ในวันที่ 19 กันยายน 2557 แฟนผมได้เป็นประจำเดือน (โอเคเข้าใจ ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้ฮอโมนผิดปรกติ) และวันนี้วันที่ 1 ตุลาคม 2557 แฟนผมบอกว่า "ปวดท้องเหมือนประจำเดือนจะมา" (ผมงงมาก ผลข้างเคียงของยาทำให้ประจำเดือนมาบ่อยขนาดนี้เลยหรอ) 

ผมจึงอยากเรียนคุณหมอให้คำตอบผมหน่อยว่าแฟนผมเป็นอะไร เป็นผลข้างเคียงของยา หรือเป็นเพราะสุขภาพ (แฟนเป็นนักศึกษา แล้วฝึกงานที่เซเว่น กะละ 10-15 ชม ต่อวัน) หรือแฟนผมเป็นโรคอะไร

และแฟนผมทานยาคุมฉุกเฉินครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 ประจำเดือนมาปรกติอยู่ที่ 7 วัน

จาก ***

ขอบคุณครับ

อายุ: 23 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 55 กก. ส่วนสูง: 175ซม. ดัชนีมวลกาย : 17.96 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
Haamor Admin

(Admin)

2 ตุลาคม 2557 10:02:32 #2

ถึง คุณ 1b3c2

เนื่องจากเว็บไซต์เป็นที่สาธารณะ ดังนั้นเพื่อให้ข้อมูลเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากที่สุด ทางทีมงานจึงทำการซ่อนชื่อจริงของผู้ถามให้นะคะ โดยคุณ 1b3c2 ยังสามารถติดตามคำตอบคุณหมอได้ที่กระทู้นี้ค่ะ

ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล

เภสัชกร

3 ตุลาคม 2557 03:16:56 #3

เรียน คุณ 1b3c2,

จากข้อมูลการศึกษา พบว่าโอกาสน้อยมากนะครับ ที่ถุงยางอนามัยจะฉีกขาดหรือรั่วซึม ไม่ต้องทดสอบถึงกับนำไปใส่น้ำ เพื่อดูว่ารั่วหรือไม่ ทั้งนี้จะต้องเก็บรักษาให้ถูกต้อง ไม่เก็บในที่ร้อน หรือถูกแสงแดดโดยตรง การพกใส่กระเป๋าสตางค์ เมื่อผ่านระยะเวลาไป 3 เดือน ควรทิ้งไป เนื่องจากอาจมีการกดทับจนเกิดการปริ แตกได้ เวลาสวมใส่ ต้องสวมอย่างถูกต้อง โดยสวมขณะอวัยวะเพศแข็งตัว บีบช่วงปลายถุง ไม่ให้มีอากาศอยู่ ค่อย ๆสวมและรูดปลายให้แนบกับอวัยวะเพศให้ถึงโคน ขณะมีเพศสัมพันธ์ ควรมีการเล้าโลมก่อน เพื่อให้มีการหลั่งน้ำหล่อลื่น หรืออาจใช้ K-Y Jelly (สูตรน้ำ) ช่วย ห้ามใช้ครีมหรือโลชั่น เนื่องจากจะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย เวลาถอดก็ต้องถอดขณะที่อวัยวะเพศยังไม่อ่อนตัว โดยใช้กระดาษทิชชูพันช่วงโคนให้หนาพอสมควร แล้วค่อยๆรูดออก

ส่วนเรื่องยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นฮอร์โมนปริมาณเข้มข้นสูง (2 เม็ด เท่ากับ 1500 ไมโครกรัม ขณะที่ยาคุมปกติ 50-75 ไมโครกรัมเท่านั้น) กลไกการป้องกันการตั้งครรภ์คือ

  • ทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น จนอสุจิผ่านไปได้ยาก
  • ทำให้ท่อนำไข่บีบตัวน้อยหรือช้าลง ลดโอกาสที่ไข่จะมาพบกับอสุจิ
  • ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอ่อน (หากมีการผสมของอสุจิกับไข่) มาฝังตัวได้

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะทำให้มีเลือดออกผิดปกติ โดยมักจะมีเลือดออกหลังจากรับประทานยา ประมาณ 7-14 วัน แล้วจึงมีประจำเดือนมาตามรอบปกติ อาจพบได้บ้างที่ทำให้ฮอร์โมนเพศเกิดการแปรปรวน (เนื่องจากฮอร์โมนเพศปริมาณสูง ทำให้รังไข่ทำงานผิดปกติ) จึงอาจเกิดการปวดท้องน้อยได้ ร่วมกับการพักผ่อนน้อย แต่หากยังคงมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการมีเลือดออกผิดปกติ (ปริมาณและจำนวนวันมากกว่าปกติ) ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติม

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ไม่ควรใช้เกิน 2 กล่อง ต่อเดือน เนื่องจากอาจเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก มีการฉีกขาดและตกเลือด จนอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ และยังพบว่าสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากเกินกว่า "3 ครั้ง ตลอดชีวิต" มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าหลายเท่าในการเกิดมะเร็งต่ออวัยวะต่าง ๆ เมื่อเทียบกับสตรีที่ได้รับยาคุมกำเนิดปกติ หรือไม่เคยได้รับยาคุมกำเนิดมาก่อน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกหรือรังไข่ หรือมะเร็งตับ หรือหากแต่งงานแล้ว ต้องการคุมกำเนิดต่อเนื่อง แนะนำให้รับประทานยาคุมกำเนิดปกติจะดีกว่านะครับ เพื่อจะได้ผลการคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลเรื่องถุงยางอนามัยฉีกขาด

 

เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล

แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่

การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์

Anonymous

3 ตุลาคม 2557 13:31:25 #4

ขอบคุณท่าน ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผล มากครับสำหรับคำตอบ และคำแนะนำความรู้ดีๆ คับผม ^^