กระดานสุขภาพ
รู้สึกกังวลมากเลยค่ะ ช่วยตอบที่ | |
---|---|
8 กันยายน 2557 15:12:57 #1 คือมาประจำเดือน ตั้งแต่วันที่ 31สิงหาคม หมดวันที่5กันยายนค่ะ มีอะไรกับแฟน วันที่7กันยายน เวลาประมาณสักตีสี่ได้อ่ะค่ะ แฟนเอาเข้าออกได้แปบเดี่ยวเองค่ะประมาน 5-6ครั้งแล้วเขาก้อ เอาออกหลั่งข้างนอก ถามแฟนเอาเข้าไปหมดไมเขาว่าไมเอาเข้า ไปนิดเดี่ยวเองเพราะเห็นเราเจ็บ ครั้งแรก กังวลมากค่ะ เลยศึกษาจากเน็ต การกินยาคุมฉุกเฉิน เลยให้แฟนไปซื้อมา ยี่ห้อมาดอนน่า ตอนแรกไม่กล้ากินค่ะ รือสึกกลัวมาก แตต่เกิดเหตุไม่ตั้งใจก้อไม่รู้จะทำอย่างไรเลยตัดสินใจกิน เพื่อความสบายใจ กินยาเม็ดแรกช่วงเวลา บ่ายสามโมงเย็นแปะค่ะ และเม็ดที่สองเขาให้กิน12ชม.ถัดไป ก้อตั้งเวลา กินอีกที่ตี 01:58 น.ค่ะ ไม่แน่ใจว่าทานถูกหรือเปล่าน่ะค่ะ จากเหตุการที่เล่ามาหนูมีโอกาสติดสูงมากน้อยแค่ไหนค่ะ ผลจากยาคุมฉุกเฉินจะมีผลต่ออย่างไรบ้างค่ะ แต่ตอนนี้หลังทานรู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย ่เหมือนอยากจะอาเจียน และจะมีผลต่อการมีลูกยากไมค่ะในอนาคต |
|
อายุ: 25 ปี เพศ: F น้ำหนัก: 47 กก. ส่วนสูง: 155ซม. ดัชนีมวลกาย : 19.56 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9) | |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
11 กันยายน 2557 05:44:31 #2 เรียน คุณ a7a47, ขอแยกเป็น 2 ประเด็นคือ โอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์น่าจะน้อยนะครับ แม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ แต่การหลั่งนอกหรือในก็เสี่ยงเท่า ๆกันครับ 1. ยังอยู่ในช่วง 7 วันหลังมีประจำเดือน น่าจะยังไม่มีไข่ตก (ถ้ารอบเดือนคุณปกติ 28 วัน) 2. ได้รับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเข้าไป ตามหลักการทางวิชาการ คือ ภายใน 72 ชั่วโมงของการมีเพศสัมพันธ์ มีวิธีการรับประทานยา 2 แบบ คือ 2.1 รับประทานยาเม็ดแรกทันที และเว้นห่างจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง แบบนี้จะดีตรงที่ฮอร์โมนค่อย ๆเพิ่มระดับในเลือด ทำให้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ค่อนข้างน้อย แต่เสี่ยงต่อการลืมรับประทานยา 2.2 รับประทานยาพร้อมกัน สอง เม็ด ทันที แบบนี้จะดีตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมรับประทานยา แต่จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนแน่นท้องมากกว่าแบบที่ 1 ส่วนเรื่องอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ เหมือนอยากอาเจียน น่าจะเป็นอาการจากการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ที่รบกวนกระบวนการสร้างฮอร์โมนเพศของร่างกาย อาจส่งผลให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อน จากเดิม 7-10 วัน หรือในบางรายอาจประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มีเลย การมีบุตรยาก คงพูดยากนะครับ ทั้งนี้ขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย มีโรคแทรกซ้อนใดหรือไม่ หรือในอนาคตเกิดการติดเชื้อในช่องท้อง ก็ส่งผลต่อการมีบุตรเช่นกัน ขอแนะนำเพิ่มเติม หากยังไม่ได้แต่งงาน แนะนำให้ใช้วิธีสวมถุงยางอนามัย จะดีกว่านะครับ เนื่องจากป้องกันการตั้งครรภ์ และยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน พยาธิในช่องคลอด ไวรัสตับอักเสบ บีหรือซี หูดหงอนไก่ หรือเอดส์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส เอชพีวี ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากช่องคลอดในฝ่ายหญิง หรือมะเร็งองคชาติในเพศชาย หรือหากคุณแต่งงานแล้ว ต้องการวางแผนครอบครัว แนะนำให้ใช้วิธีการอื่นเสริม เช่นการรับประทานยาคุมกำเนิดปกติ หรือห่วงคุมกำเนิด หรือวงแหวนคุมกำเนิด สามารถปรึกษาแพทย์ได้ครับ เพื่อคัดเลือกประเภทของการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับคุณต่อไป ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดพร่ำเพรื่อ เนื่องจากการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน จากข้อมูลของบริษัทยา คือไม่ควรรับประทานเกิน 2 กล่องต่อเดือน เนื่องจากอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก ที่มักเป็นสาเหตุของการตกเลือดเสียชีวิต แต่จากข้อมูลการศึกษาย้อนหลัง พบว่า สตรีที่ไดรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มากเกินกว่า 3 กล่อง ตลอดชีวิต จะมีอัตราการเป็นมะเร็งอวัยวะต่าง ๆสูงกว่าสตรีทั่วไปหรือที่รับประทานยาคุมกำเนิดปกติมากกว่าหลายเท่าครับ โดยมักพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม มดลูกหรือรังไข่ หรือมะเร็งตับครับ
เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล แนะนำบทความดี ๆจากกองบรรณาธิการของเราที่ การคุมกำเนิด (Contraception) โดย แพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์ |
Anonymous |
11 กันยายน 2557 12:29:13 #3 ขอบคุณมากค่ะ ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ แต่ยาคุมฉุกเฉินคงไม่ทานอีกแล้วค่ะ คงครั้งนี้ครั้งเดียวค่ะ รู้สึกกังวลเรื่องการทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมากกว่าค่ะ กลัวจะมีปัญหาในวันข้างหน้าต่อการมีบุตรค่ะ ทานแค่ครั้งเดี่ยวจะผลต่อมดลูกไมค่ะ มีสิทธิจะเป็นมะเร็งมดลูกหรือเปล่าค่ะ หลังจากนี้ต้องทำตัวยังไงบ้างค่ะ ต้องทานอะไรบำรุงไมค่ะ หรืออาหารเสริมที่จะบำรุงให้มดลูกแข็งแรงขึ้นเหมือนเดิมไมค่ะ |
Anonymous |
12 กันยายน 2557 11:37:34 #4 เรียนถามคุณหมอ หน่อยน่ะค่ะประจำเดือน มา 31-8หมด 5-9 หนูทานยาคุมฉุกเฉินไป7-9 วันนี้วันที่12-9 อยู่ดีๆมีเลือดออกเหมือนประจำเดือน เป็นสาเหตุเกิดยาคุมฉุกเฉินหรือเปล่าค่ะ แต่ม่มีอาการปวดท้องอะไรน่ะค่ะ ต้องไปหาหมอไมค่ะ |
ภก.ประดิษฐ์ งามศิริผลเภสัชกร |
12 กันยายน 2557 16:18:06 #5 เรียน คุณ a7a47, คงให้คำตอบยากนะครับ เท่าที่แจ้งได้คือผลในปัจจุบันเท่านั้น เรื่องยาบำรุงเฉพาะมดลูก คงไม่มีนะครับ ส่วนในอนาคต ขึ้นกับพฤติกรรมสุขภาพของคุณ เช่น - การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหาร ได้ครบ 5 หมู่ เน้นผักสดที่มีกากใยสูง ผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด งดสารปรุงแต่งรส เพื่อลดการสัมผัสสารแปลกปลอม เช่น สี ผงชูรส ฯ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ วันละอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้เลือดสูบฉีดดี ไหลเวียนทั่วร่างกาย กำจัดของเสียออกทางเหงื่อและผิวหนัง ควรสลับรูปแบบการออกกำลังกาย เพื่อให้ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลาย ๆส่วน เช่น วิ่งจ็อกกิ้ง ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล แบดมินตัน - นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และควรเข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีการหลั่ง Growth Hormone เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และไม่เหี่ยวย่นง่าย นอกจากนั้นการนอนดึกจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความเครียด ซึ่งเป็นสารสเตียรอยด์ ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน อ้วน บวม และเซลล์สมองเสื่อมเร็วกว่ากำหนด ส่วนประเด็นเรื่องการมีบุตรยาก คงต้องรอปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เมื่อคุณพร้อมจะมีบุตร เพื่อตรวจสุขภาพของทั้งสองฝ่าย
เภสัชกรประดิษฐ์ งามศิริผล |
Anonymous