กระดานสุขภาพ

ปวดหน่วง ปวดฉี่พอฉี่แล้วก็ยังปวดอยู่ครับ
Fang*****o

2 กุมภาพันธ์ 2562 03:35:29 #1

สวัสดีครับ ผมอายุ34เคยเป็นนิ่วในท่อหมวกไตแต่ยิงสลายออกไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ช่วงหลังนี้ปวดหน่วงท้องน้อยปวดฉี่พอไปฉี่ก็ยังรู้สึกปวดอยู่เหมือนยังไม่ได้ไปฉี่พอมีอาการนี้ผมก็จะกินยาแก้ปวดบุสโคพานอาการก็จะบรรเทาลง อยากทราบว่ามันเป็นอะไรตอนนี้เหมือนได้แต่แก้ปวดเมื่อมีอาการเฉยๆเลยครับ

อายุ: 34 ปี เพศ: M น้ำหนัก: 67 กก. ส่วนสูง: 177ซม. ดัชนีมวลกาย : 21.39 (ค่ามาตรฐานคนเอเชีย=18.5-22.9)
พญ.กิติพร กวียานนท์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว/เวชศาสตร์ทั่วไป

2 กุมภาพันธ์ 2562 18:11:14 #2

สาเหตุของการปวดท้องน้อยที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย ได้แก่

• ความผิดปกติของลำไส้ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ไส้เลื่อน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis) ท้องผูกเรื้อรัง

• ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง

• อากการเจ็บป่วยบริเวณกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหดเกร็ง (Pelvic Floor Muscle Spasm)

• ความผิดปกติบริเวณอุ้งเชิงกราน

• กระดูกเชิงกรานร้าว หรือแตกหัก

• โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม

• ภาวะติดเชื้อในไต หรือมีนิ่วในไต

• ภาวะเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาท

• โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

• ภาวะเจ็บป่วยในระบบสืบพันธุ์เพศชาย เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบ

• อาการเจ็บปวดที่เกิดจากความผิดปกติทางจิต

• ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกทารุณกรรมทางเพศ

แนะนำให้พบแพทย์นะคะ เนื่องจากต้องมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุค่ะ

ภาวะติดเชื้อในไต หรือมีนิ่วในไต เป็นภาวะที่คิดว่าเกิดกับคุณได้มากที่สุดสาเหตุนึงค่ะ

การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection) หรือเรียกย่อว่า ยูทีไอ (UTI) คือ โรคหรือภาวะที่เกิดจากอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ทั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากเชื้อโรคทุกชนิด เช่น เชื้อรา และเชื้อไวรัส แต่พบได้น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเขื้อจากแบคทีเรีย ดัง นั้นในบทนี้จึงจะกล่าวถึงเฉพาะการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น

การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นโรค/ภาวะที่พบได้บ่อยมาก พบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็ก (พบได้ประมาณ 10% ของโรค/ภาวะนี้) ไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยทั่วไปมักพบในช่วงอายุ 16-35 ปี เป็นโรคพบในผู้หญิงบ่อยกว่าในผู้ชายประมาณ 4 เท่า โดยประมาณ 60%ของผู้ หญิงต้องเคยเกิดโรค/ภาวะนี้อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เป็นโรค/ภาวะที่เกิดซ้ำได้บ่อย โดยพบว่า ประมาณ 50% เมื่อเกิดโรคแล้ว จะเกิดโรคซ้ำภายใน 1 ปี

การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมักเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่างซึ่งเรียกว่า การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่าง (Lower Urinary tract infection หรือ Lower UTI) คือ โรค/ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) และโรค/ภาวะท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethri tis) มากกว่าประมาณ 20-30 เท่าของการเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนบนซึ่งเรียกว่า การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบน (Upper Urinary tract infection หรือ Upper UTI) ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อของกรวยไต (โรคกรวยไตอักเสบ)

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ

• ผู้หญิง เนื่องจาก

◦ ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชายมาก เชื้อโรคบริเวณปากท่อปัสสาวะ จึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า

◦ ปากท่อปัสสาวะของผู้หญิงเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณใกล้กับช่องคลอด และทวารหนัก จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งจากช่องคลอด และจากทวารหนัก

◦ ผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน บริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจะปน เปื้อนเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศจะส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศรวมทั้งปากท่อปัสสาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

◦ มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในช่วงตั้งครรภ์ และช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายในบริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว แบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora) ที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น

◦ ภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งตัวครรภ์จะก่อการกดเบียดทับอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะกระเพาะปัสสาวะ จึงก่อให้เกิดทางเดินปัสสาวะอุดกั้นได้ง่าย ปัสสาวะจึงแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ เชื้อโรคจึงเจริญได้ดี จึงเพิ่มเชื้อโรคในปัสสาวะ ก่อให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่ายขึ้น

• อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงและชาย หรือมีเพศสัมพันธ์บ่อย จึงมีโอกาสติดโรคติด ต่อทางเพศสัมพันธ์ได้สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนหลายคน หรือในช่วงเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอน หรือเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศซึ่งรวมถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บจากเพศสัมพันธ์ จึงส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย

• ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิ เพราะยาจะก่อการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อของช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะ จึงเกิดช่องคลอดอักเสบ และทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย

• ผู้หญิงที่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใส่ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm) จะติดเชื้อในช่องคลอดและในทางเดินปัสสาวะได้ง่าย จากความไม่สะอาดของมือ (จากการล้วงเข้าไปในช่องคลอด) และของแผ่นครอบไม่เพียงพอ

• ใช้เจลหล่อลื่น และ/หรือถุงยางอนามัยที่ไม่สะอาด

• มีทางเดินปัสสาวะอุดกั้น เช่น นิ่วในไต นิ่วในท่อไต และ/หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เพราะส่งผลให้น้ำปัสสาวะแช่ค้างในทางเดินปัสสาวะ แบคทีเรียจึงเจริญ เติบโตได้ดีในน้ำปัสสาวะ จึงก่อการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย

• โรคต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย) เพราะก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ

• โรคต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ จึงส่งผลให้ลุกลามเกิดการติดเชื้อของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะต่อมลูกหมากจะสัมผัสอยู่กับท่อปัสสาวะ

• การนั่งนานๆ เช่น เมื่อรถติดมาก การกลั้นปัสสาวะนานๆ เพราะส่งผลให้เกิดการแช่คั่งของปัสสาวะ เชื้อโรคในปัสสาวะจึงเจริญได้ดี

• มีโรคที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ร่างกายจึงติดเชื้อได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน

• โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะจะมีปัญหาในการถ่ายปัสสาวะ มักเกิดการแช่ค้างของปัสสาวะ แบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี

• โรค/ภาวะที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ปัสสาวะแต่ละครั้งไม่หมด จึงมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะเสมอ แบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี เช่น ในผู้สูง อายุ ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลายครรภ์ และในผู้หญิงที่มีโรคกระบังลมหย่อน หรือในโรคต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย)

• การใช้สายสวนปัสสาวะ เพราะท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะบาดเจ็บจากสายสวน รวมทั้งการติดเชื้อจากตัวสายสวนเอง เช่น ในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้ป่วยผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ

• มีความผิดปกติแต่กำเนิดของทางเดินปัสสาวะ ที่เป็นสาเหตุให้มีการกักคั่งของน้ำปัสสาวะ (พบได้น้อย)

อาการจากการการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่พบได้บ่อย คือ

◦ ปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ ปวดแสบเวลาปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดปัสสาวะ และมักตื่นปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ

◦ อาจกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

◦ ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นแรง หรือเหม็น ผิดปกติ

◦ อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด

◦ ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน

• อาการจากติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอื่นๆที่อาจพบได้ คือ

◦ อาจมีไข้ต่ำๆ

◦ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั่วตัว

◦ อ่อนเพลีย

◦ คลื่นไส้ อาเจียน

◦ เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ และ/หรืออุ้งเชิงกรานเมื่อมีเพศสัมพันธ์

◦ มีหนอง หรือ สารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศ ปากช่องคลอด และ/หรือปากท่อปัสสาวะ

• อาการจากติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบนที่นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว คือ

◦ มีไข้ มักเป็นไข้สูง หนาวสั่น

◦ ปวดเอวทั้งสองข้าง

แนวทางการรักษาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรักษาสาเหตุ และการรักษาประคับประคองตามอาการ

• การใช้ยาปฏิชีวนะ โดยชนิด ขนาดยา (Dose) และระยะเวลาที่ใช้ยา ขึ้นกับ ความรุนแรงของอาการ เชื้อที่เป็นสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง การเป็นการเกิดโรคครั้งแรกหรือเป็นโรค/ภาวะย้อน กลับเป็นซ้ำ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และในผู้ป่วยที่เกิดโรคบ่อย อาจมีการให้ยาปฏิชีว นะ เพื่อการป้องกันการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์

• การรักษาสาเหตุ เช่น การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อโรคเกิดจากโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์ หรือการรักษาโรคนิ่วในไต หรือโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อโรคเกิดจากโรคนิ่วในไต หรือในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น

• การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการ คลื่น ไส้ อาเจียน และการดื่มน้ำมากๆ มากกว่าปกติ เป็นต้น

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อมีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ

• เมื่อมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ เพราะการรักษาจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องทั้งชนิดของยา ปริมาณยา (Dose) และระยะเวลาที่ได้รับยา เพื่อลดโอกาสเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำจากการรักษาที่ไม่เหมาะสม และเชื้อดื้อยา ดังนั้นจึงเป็นโรคที่ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตนเองให้โรคหายได้

• เมื่อพบแพทย์แล้ว ควรปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ

• กินยาต่างๆให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง ถึงแม้อาการจะดีขึ้น/หายแล้วก็ตาม

• ดื่มน้ำสะอาดให้มากกว่าเดิม อย่างน้อยวันละ 8-10แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม

• ไม่กลั้นปัสสาวะนาน

• พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่นั่งนานๆ เช่น เมื่อรถติดมาก

• งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าโรคจะหายแล้ว

• สวมใส่กางเกงในเป็นผ้าฝ้าย100% ไม่รัดแน่นเกินไป เพื่อลดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ และปากท่อปัสสาวะ และเพิ่มการระบายอากาศไม่ให้บริเวณนั้นอับชื้น

• ในผู้หญิงควรล้างบริเวณอวัยวะเพศและปากท่อปัสสาวะจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อลดการปนเปื้อนแบคทีเรียจากปากทวารหนัก

• ลองปรับเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิด (ในผู้หญิง) หรือ เจลหล่อลื่น เมื่อเกิดโรคกระ เพาะปัสสาวะอักเสบโดยหาสาเหตุอื่นไม่ได้

• รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ

• หลังการขับถ่ายควรล้างด้วยน้ำสะอาด และซับให้แห้งเสมอ อาจใช้กระดาษเปียกสำหรับทำความสะอาดของเด็กอ่อนเมื่อไม่สะดวกที่จะล้างทำความสะอาด

• ใช้ทิชชูชนิดอ่อนนุ่ม ไม่แข็งกระด้างในบริเวณอวัยวะเพศเสมอ

• รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคต่อมลูกหมากโต

การป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สำคัญ คือ

• ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม

• เคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่นั่งนานๆ เช่น เมื่อรถติดมาก ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ

• ใช้ทิชชูที่อ่อนนุ่มในการทำความสะอาดปากท่อปัสสาวะ และอวัยวะเพศ

• ไม่ใช้ยาดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ

• หลายการศึกษาพบว่า การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะ ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ปัสสาวะก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะลง จึงลดโอกาสเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

• รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง

• ไม่สำส่อนทางเพศ รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)

• ในผู้หญิง

◦ ทำความสะอาดอวัยวะเพศ และหลังการขับถ่ายจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรียจากปากทวารหนัก

◦ ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ

◦ ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใช้ฝาครอบปากมดลูก